ผีกะเหรี่ยงสาว
เมื่อประมาณปี ๒๕๐๗ ณ หมู่บ้านบนเขา ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชนชาวกะเหรี่ยง ตั้งอยู่ในวงล้อมของขุนเขาและป่าทึบ
การคมนาคมทางรถยนต์ยังไม่สะดวก ต้องใช้การเดินทางด้วยเท้า บุกป่าฝ่ารกเข้าไป กว่าจะถึงหมู่บ้าน ก็แทบจะหมดอาลัยกันละพวกเราสามคม คือ ตัวผม วิรัช เทพ ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยงานมาลาเรีย ให้เข้าไปสำรวจเชื้อมาลาเรียที่หมู่บ้านบนเขา พวกเรากลัวก็กลัว อยากไปก็อยากไป ที่กลัวนั้นเพราะเป็นหมู่บ้านที่ไกล และยากลำบากมากในการเดินทางในป่าทึบ มีอันตรายที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่มากมาย แต่.....พวกเรากำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เหตุที่อยากไปนั้น
เพราะสาว ๆ กะเหรี่ยงสมัยนั้นยังไม่มีมายา ล้วนแต่สวย ๆ ทั้งนั้น การเสียผี (การสู่ขอมาเป็นเมีย) ก็ไม่ยุ่งยาก และไม่แพงด้วย แต่ต้องย่องเข้าหาสาวก่อน รุ่งขึ้นถึงจะเสียผีกัน
เวลาทุ่มกว่า ๆ ของวันที่สามในการเดินทางของพวกเราทั้งสามคน พวกเราก็กำลังเดินขึ้นเนินหินปนดิน
ซึ่งค่อย ๆ ลาดสูงขึ้น ๆ ๆ เรื่อย ๆ ๆ แสดงว่าเราเข้าเขตบ้านบนเขาแล้ว พวกเราต้องเดินกันอีกเกือบชั่วโมง ถึงจะมองเห็นหลังคาบ้านเป็นเงาตะคุ่มอยู่เรียงรายกัน เสียงสุนัขเห่าขรม ผมส่งภาษากะเหรี่ยง (ขอแปลเป็นไทย) กับเจ้าของบ้านหลังแรกที่เรามาถึงน้าชาย สวัสดีครับ........พวกผมเป็นหมอมาลาเรียจากในเมือง เดินทางมาตรวจเชื้อมาลาเรียที่บ้านบนเขานี้ บ้านผู้เฒ่าหมู่บ้านอยู่หลังไหนครับ.... ผมหมายถึง หัวหน้าหมู่บ้านนั่นเอง
กะเหรี่ยงวัยกลางคนชี้มือให้ดูบ้านหลังใหญ่ ที่ตั้งทะมึนอยู่ข้างหน้าโน่น แล้วพูดว่า
พ่อเฒ่าไม่อยู่ แต่แม่เฒ่าและลูกสาวแกอยู่ มาข้าจะไปส่งเอง ว่าแล้วแกก็ออกเดินนำหน้าไปดุ่ม ๆ พวกผมเดินตามแกไป แต่ก็ต้องหันมากระซิบบอกเจ้ารัช เจ้าเทพ ก่อนว่าเฮ้ย แกสองคน อย่าเพิ่งตะกรามบุ่มบ่าม เรื่องลูกสาวพ่อเฒ่านะ แกยังไม่อยู่ ดูเหตุการณ์ให้ดี ๆ เสียก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวจะซวยกันไปหมด เจ้าสองคนพยักหน้ารับคำอย่างดี ก็พอดีถึงบ้านพ่อเฒ่า เสียงผู้นำทางเรียกเจ้าของบ้าน
แม่เฒ่า......แม่เฒ่า....หมอในเมืองมาหา
ครู่หนึ่งแม่เฒ่าค่อย ๆ ย่างเท้าลงมาตามขั้นบันไดบ้าน ซึ่งสูงเลยหัวมากพอดู แม่เฒ่าแกถือตะเกียงน้ำมันมาด้วย
แต่ไม่ยอมลงมาที่พื้นดิน แกนั่งบนชั้นของบันได แล้วพูดกับกะเหรี่ยงที่นำพวกเรามาครู่หนึ่ง แม่เฒ่าก็หันกลับขึ้นบันไดไป ผู้นำทางบอกพวกเราว่าแม่เฒ่ายินดีให้พวกหมอพักที่บ้านนี้ พวกหมอขึ้นไปนั่งบนเรือนตามสบาย แม่เฒ่าเข้าครัวหาข้าวมาให้พวกหมอกินกัน เอ้อ แม่เฒ่าบอกว่า ไหน้ำหมัก (เหล้าหมัก) ตั้งอยู่ที่เสากลาง ให้หมอตักกินเอง...." แล้วแกก็เดินกลับไปบ้านของแก
เราทั้งสามคนค่อย ๆ ขึ้นบันไดเพราะมืด พอโผล่ชานเรือน ก็มองเห็นตะเกียงใบเล็ก ๆ ส่องแสงอยู่เฉพาะตรงที่ตั้งริบหรี่ ๆ ผมค่อย ๆ ย่องเข้าไปยังตรงตะเกียงนั้น เจ้าสองคนย่องตามมา บ่นพึมพัมว่า มืดตื๋อเลย ทันทีที่พวกเรานั่งลง ทันใด ลมพัดฮือเข้ามา พาเอากลิ่นธูปและกลิ่นกำยานฉุนกึกมาด้วย แสงตะเกียงในครัวสว่างริบหรี่ มองเห็นแม่เฒ่านั่งก้มหน้าทำอะไรอยู่ ดูเป็นเงามัว ๆ น่าขนลุก
ทันใดนั้น ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือก ขนหัวลุกวูบ เมื่ออยู่ ๆ
ก็มีถาดโผล่ออกมาจากเงามืด วางลงตรงหน้า พร้อมทั้งใบหน้าของแม่เฒ่าค่อย ๆ โผล่ตามมา และเสียงแหบพร่าเบา ๆ ของแกก็ดังตามมา....ฮึ...ฮึ.....ฮึ.....กินข้าวกันซี.....เนื้อหมูย่างนี่ไง...กินซี
มองดูหน้าแม่เฒ่าไม่ค่อยจะชัดนัก มัว ๆ หน้าแกคล้ายคนมีอายุสักร้อยกว่าปี ใบหน้าเหี่ยวย่นมีแต่กระดูก ดวงตามีเงามืดบังอยู่ ผมเป็นกระเซิงยุ่ง ริมฝีปากแตกระแหงคล้ายเอาคมมีดสับ ๆ เวลาแกหัวเราะ ฮึ ฮึ ฮึ เห็นฟันในปากสองซี่ดำปี๋เลย ทันทีแกหันไปในเงามืด เสียงแหบ ๆ ของแกเรียกออกไปว่า
นังร็อก....นังร็อก....เอ๊ย....ลุกมาคุยกับหมอซิ ฮึ...ฮึ....ฮึ....
แล้วได้ยินเสียงไม้พื้นบ้านดังเบา ๆ อ้าว...แม่เฒ่าไปนั่งที่เดิมในครัวแล้ว แว้บเดียว....ผมมองเพื่อนสองคนก็เห็นกำลังดื่มน้ำหมักกันอยู่ เสียงเจ้าเทพมันบ่นเบา ๆ ว่า
หิวข้าวจัง แม่เฒ่าหุงข้าวเสร็จยังวะ....
เล่นเอาผมสะดุ้ง ก็แม่เฒ่าเพิ่งจะยกเอาถาดอาหาร มาวางอยู่ตรงหน้าพวกเราเมื่อครู่นี้
แต่เจ้าเทพกลับไม่เห็น นี่มันจะอะไรกันแน่ ผมหันกลับไปมองดูแม่เฒ่าที่ในครัว เอ๊ะ.....แม่เฒ่าไปไหนเสียแล้ว มีแต่ความมืด ผมรีบหันมาจะกระซิบบอกเพื่อนทั้งสอง อ้าว...เจ้ารัช นั่งคอตก ตัวเอียงไปเอียงมา ปากก็บ่นพึมพำ ๆ เมาเสียแล้วเพื่อนเรา ท้องว่าง ๆ ลองดื่มเจ้าน้ำหมักซักเป๊กเดียว เดี๋ยวรู้เรื่อง นี่คงซัดเข้าไปหลายแก้ว หันมามองเจ้าเทพก็พอกัน และมันกำลังเอนตัวลงนอนเอียงข้างแล้ว คราวนี้เหลือผมเพียงคนเดียวที่ยังมีสติอยู่ ผมรีบล้วงมือเข้าไปในเป้ใส่ยา หยิบมีดโบวี่คู่ใจออกมาวางไว้ข้างตัว คิดว่า หากเกิดอะไรขึ้นก็ขอสู้ตายละผมค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบจอกน้ำเก่า ๆ ที่วางล้มอยู่ข้างไหหมัก แล้วค่อย ๆ กดลงไปในไหเพื่อดื่มให้ใจมันกล้าขึ้นอีกสักนิด แต่ตาผมกวาดมองไปทั่วในความมืด ผมแข็งใจดื่มเข้าไปสองอึกใหญ่ มันร้อนวูบตั้งแต่ลำคอลงไปจนถึงกะเพาะ ผมขนลุกนิดหน่อย ผมขยับตัวคิดว่าจะนั่งเอาหลังพิงเสาเรือน เพื่อนั่งดูเหตุการณ์ต่อไป
ทันใดนั้นเอง....หูผมแว่วได้ยินเสียงเหมือนมีคนขยับตัว เสียงนั่นดังมาทางด้านลึกเข้าไปในบ้าน
แล้วก็มีเสียงเหมือนคนเดิน แช้บ ๆ เอียด แช้บ ๆ เอียด มือของผมกำด้ามมีดแน่น ดวงตาของผมจ้องเขม็ง ตามเสียงที่เดินนั้น ครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็เงียบไป ตัวผมเองก็รู้สึกว่าหน้าชักตึง ๆ แล้วอากาศรอบ ๆ ตัว สงบเงียบ วังเวง น่าใจหาย ตาผมชักจะหนัก ๆ อยากจะหลับตา ใจชักจะเผลอ ๆ ผมเอามือขยี้ตาและสะบัดหน้าหลายครั้ง แต่อะไรกัน หนังตาผมมันรีบกระตุกเปิดกว้างทันทีผมมีความรู้สึกว่า มีใครมาหายใจรดข้างหูผม ผมหันขวับไปดูก็เห็นแต่ความมืด และ เจ้ากลิ่นกำยาน และธูป
มันช่างทรมานจมูกผมเหลือเกิน แค๊ก....แค๊ก.....แค๊ก....ฮะ....อื้อ.... เสียงผู้หญิงไอเบา ๆ ไม่ห่างจากที่ผมนั่งนัก ผมขนลุกทั้งตัว มือดึงมีดออกจากปลอกโดยสัญชาตญาณ เอียงหน้ามองไปทางซ้ายมือ ด้านลึกเข้าไปในบ้าน
เอ๊ะ...? นั่น..? นั่น.... แสงไฟเหมือนเพิ่งจุด ค่อย ๆ สว่างขึ้น ตรงแสงไฟนั้นมีร่างคนนอนห่มผ้าสีคล้ำ
จะว่าห่มก็ไม่เชิง เป็นการคลุมโปงมากกว่า ทันใด สองมือคนนอนก็ค่อย ๆ ลอดออกมาจากโปงนั้น แล้วดึงผ้าห่มที่ปิดใบหน้าออก โอ๊ะ...? แม้จะอยู่ห่างกันราวสองวากว่าก็มองเห็นว่า ร่างนั้นเป็นผู้หญิง ผมกระจายเต็มหมอนหนุน อาจจะยาวถึงเอวเธอก็ได้ ใบหน้าเธอขาวผ่อง บางทีก็ขาวซีด ๆ เธอค่อย ๆ เอียงตัวลุกขึ้นมานั่งจ้อง มองมาทางผมด้วยดวงตาใสวาว ทั้งน่ารักและน่ากลัว เธอเผยอยิ้มออกมา สวยมาก สวยจนมีดในมือผมหลุดออกจากมือเหมือนมีใครมาดึง เธอขยับตัวคลานเข้ามาที่ผมนั่งช้า ๆ และพูดทักผมด้วยภาษากะเหรี่ยงว่า
หมอยังไม่ง่วงอีกหรือ เธอหยุดห่างจากผมไม่ถึงวา กลิ่นสาบผสมกลิ่นธูป กลิ่นกำยาน โชยเข้าจมูกผมแทบสำลัก มือผมมันอ่อนเปลี้ยไปหมด คอแห้งผาก
<> หมอ....??? มานอนกับร็อกที่นี่ซิ....มาซิ....มา...า.....า....า
เธอพูดพร้อมกับยื่นมือมาที่ลำคอของผม โดยเฉพาะเสียงที่เธอหัวเราะออกมาจากปากที่ไม่ได้อ้าปากเลย
เสียงดังก้องคล้ายเสียงเป่านกหวีด เป็นจังหวะเต็มที่ แต่....เสียงก้องกังวาน ผมเองนั่งตัวชาดิก รู้สึกเหมือนว่าเส้นผมบนศีรษะจะพากันลุกขึ้นยืนตรงทั้งหมด ทันใด เธอก็ชะงักมือกึก...เพราะมีเสียงหัวเราะ ฮิ....ฮิ....ฮิ...ดังมาทางบันไดเสียงขั้นบันไดลั่น เอี๊ยด...เอี๊ยด....เอี๊ยด...แล้วร่างตะคุ่ม ๆ ของหญิงแก่ ๆ ก็ถอยหลังขึ้นบันไดมายืนหัวเราะ ค่อย ๆ หันหน้ามาทางที่ผมนั่งตาค้างอยู่ พระช่วย...ทั้ง ๆ ที่มืดมองเห็นเพียงตะคุ่ม ๆ เท่านั้น แต่ทำไม ตรงหน้าแม่เฒ่าถึงมองเห็นค่อนข้างชัด คล้ายมีแสงไฟส่องหน้าอยู่ ใบหน้าแกเปื้อนสีแดงทั้งหน้า ตาวาวโรจน์ และที่ปากของแกคาบคอไก่ที่มีหัวไก่ห้อยร่องแร่ง ขณะนั้นผมพอจะมีความรู้สึกตัวว่า คล้ายมีมือที่เย็นเฉียบมาคว้าคอผม และก็มีความร้อนในตัวผมวิ่งพรูขึ้นมาอย่างเร็ว แล้วดันจนก้อนที่ปิดลำคอหลุดออก เสียงของผมที่อั้นไว้เต็มที่จึงตะเบ็งออกมาสุดเสียง
โอ๊ย....ช่วย....ย....ย....
ผมมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีมือมาตบเบา ๆ ที่หน้าผม เสียงเรียกชื่อผมหลายคำ ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองไปรอบ ๆ ตัว
เอ๊ะ...นี่สว่างแล้วนี่ รอบ ๆ ตัวผม มีผู้คนทั้งชายหญิง (ชาวกะเหรี่ยง) และเพื่อนทั้งสองคน มากหน้าหลายตา และที่ข้างตัวผมนั้น มีชายชราร่างเล็กแกร่ง นั่งยิ้มให้ผมอยู่แกบอกว่า แกเป็นผู้เฒ่าของหมู่บ้านนี้ แกเพิ่งจะกลับขึ้นมาจากหมู่บ้านข้างล่าง ก็มาเห็นพวกผมนอนกันบนโรงเก็บศพนี้แหละ แกบอกว่า ตัวแกลงไปหมู่บ้านล่าง เพื่อบอกกับพวกที่รู้จัก ให้ขึ้นมาขอขมาศพเมียแก และลูกสาวแก ที่ตายแล้วเมื่อเช้านี้เอง เป็นไข้มาลาเรียตายทั้งคู่ แล้วแกเอาศพมาตั้งวางไว้บนโรงไว้ศพนี่แหละ ผมถามแกว่า แล้วผู้ชายกะเหรี่ยงคนเมื่อคืนนี้เป็นใครล่ะ บ้านอยู่ตรงนั้น ผมชี้มือให้แกดู แกหัวเราะบอกว่า เจ้าซัวที่อยู่บ้านร้างนั้น มันตายไปสิบกว่าวันแล้ว พวกคุณมีของดีนะ ที่มานอนที่นี่ได้ พวกในหมู่บ้านยังไม่กล้ามาเลย
ต่อจากนั้น แกก็ขอตัวไปจัดการเรื่องศพเมียและลูกสาวแกต่อ พวกผมเลยเดินตามแกไปดูศพด้วย ตัวผมยังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ใครฟังเลย
แต่ก็ยังรู้สึกว่ากลัว ๆ อยู่ เมื่อผู้เฒ่าเปิดผ้าคลุมศพลูกสาวแกออก ทันใดนั้น ผู้เฒ่าก็ผงะชะงัก เมื่อแกมองเห็นว่า มือข้างซ้ายของศพลูกสาวแก มีสีดำตั้งแต่ข้อมือถึงปลายนิ้ว เหมือนถูกเผาไฟ เสียงแกพูดว่าอีหนูมันเล่นงานใครเข้าแล้ว เลยโดยของดีทำโทษ พวกหมอ ใครแขวนของดีบ้าง
เพื่อนผมสองคนไม่มี แต่ของผมมีแขวนคอองค์เดียว คือ พระสมเด็จเจ็ดชั้น วัดเกศ ฯ เนื้อผง จนเดี๋ยวนี้ผมก็ยังแขวนบูชาอยู่เสมอ เพราะท่านได้ช่วยชีวิตของผมไว้ในครั้งกระนั้น....
แหล่งที่มา : เว็บบอร์ด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!