“วิญญาณใต้ต้นกระบก” สยองขวัญที่สุรินทร์


“วิญญาณใต้ต้นกระบก” สยองขวัญที่สุรินทร์

สมัยเด็กผมอยู่บ้านช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ แดนดินถิ่นปราสาทขอม เรื่องผี ๆ สาง ๆ มีเยอะครับ ดูเหมือนว่าเกิดมาพวกผมก็เจอผีกันเสียแล้ว ไม่ว่าผีบ้านผีป่ามีทั้งนั้น ต้องทำพิธีเซ่นผีกันบ้าง ไล่ผีกันบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะได้ผลจริง ๆ ซะที ยิ่งพวกเขมรรบกันหนัก เขมรแดงมาหลบอยู่ชายแดนแถวนั้น ถูกฝ่ายรัฐบาลโจมตีจนล้มตายมากมาย แต่พวกเขมรแดงก็ยังมาซ่องสุมผู้คน คอยตอบโต้ดุเดือดพอ ๆ กัน
ยิ่งตายมาก ผีก็ยิ่งดุมากน่ะซีครับ!

ทหารของเราคอยเฝ้าปกป้องดินแดนเต็มที่ ตอนเช้า ๆ ก็เปิดด่าน ให้ผู้คนและพ่อค้าแม่ขายไปมาหาสู่กันได้สะดวกแถวบ้านผมไม่ว่าช่องจอม บ้านด่านหรือบ้านปวงตึก มักจะนิยมเลี้ยงเป็ดกันเพราะเลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดีอีกด้วย แต่น่าแปลกที่ลูกค้ารายใหญ่กลับเป็นเขมร ที่ชอบกินไข่เป็ดมากกว่าไข่ไก่ ขับรถมาซื้อถึงเล้าเลยแหละ แถมไม่จู้จี้เหมือนลูกค้าคนไทย แตกนิดบุบหน่อยก็ไม่เอา...ลูกค้าเขมรไม่เคยปริปากต่อว่า ขนซื้อไปขายได้กำไรเพียบไปตาม ๆ กัน

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเพราะตายายคู่หนึ่ง คือตาเพ็ญกับยายลออมีเป็ดเล้าใหญ่อยู่ใกล้ ๆ บ้านผม แกเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งฝูงใหญ่ แถมมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่หลังบ้านด้วย สองผัวเมียอยู่กันตามลำพัง มีลูกชายสองคนก็ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ นานปีทีหนถึงจะกลับบ้าน

พวกเด็ก ๆ กลัวตาเพ็ญผู้หน้าตาบึ้งตึง ชาวบ้านเรียกแกว่า "ตาเพ็ญตาเสือ"

ตอนเย็น ๆ ตาเพ็ญจะนุ่งโสร่งตัวเดียวมาซื้อเหล้าที่ร้านเจ๊กเฮงใกล้ตลาด เห็นรอยสักตามหน้าอกและหลังเป็นอักขระดำมืด กลมกลืนกับผิวของแก ดูเหมือนแกจะไม่คบค้าสมาคมกับใคร ตกค่ำก็เมาเหล้าแล้วก็ทะเลาะกับเมียเสียงโหวกเหวกเป็นประจำ

ยามค่ำคืนมีคนเห็นแกนั่งสูบยาแดงวาบ ๆ อยู่ใต้ต้นกระบกหน้าเล้าเป็ด ถ้าใครหยุดมองแกจะลุกพรวดขึ้นยืน มือถือมีดขอคมปลาบ เลยต้องเผ่นหนีไปตาม ๆ กันไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ตาเพ็ญจะคบแต่พวกเขมรที่เป็นลูกค้าขาประจำเท่านั้นเอง!

ก่อนเกิดเหตุร้ายมีคนผ่านไปทางนั้น แต่ไม่เห็นตาเพ็ญมานั่งสูบยาใต้ต้นกระบกเช่นเคย แต่กลายเป็นยายลออนั่งแทนที่ พอเข้าไปทักทายแกกลับสะบัดหน้าหนี เลยเอามานินทาว่าผัวเมียคู่นี้ไม่เอาเพื่อนบ้านพอ ๆ กัน

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งมาจากบ้านนั้น ไม่ช้าก็มีเสียงยายลออร้องไห้พะอืดพะอมที่ใต้กระบก สายลมกระโชกแรงจนได้ยินเสียงชัดเจนเหมือนแกมาร้องไห้อยู่ข้างบ้านนี่เอง
ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที!

จู่ ๆ หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนเสียงเยือกเย็น บรรยากาศยามราตรีน่าวังเวงจนผมขนลุก แม่บ่นว่าอยากไปดูยายลออว่าแกเป็นไร แต่พ่อห้ามไว้ว่ากลางค่ำกลางคืนอย่าไปดูเลย ตั้งแต่คืนนั้น ยายลออก็มาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่เดิมติด ๆ กัน 3-4 คืน พ่อแม่อดรนทนไม่ไหว เราต้องชวนกันออกจากบ้านไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น?

ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องสลัว ลมหนาวพัดวู่หวิวราวจะแทรกเนื้อหนังลงไปถึงกระดูก เสียงหมาเห่าหอนน่าขนลุก พ่อฉายไฟวูบวาบไปที่ต้นกระบก แต่ก็ยังเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก กระทั่งถึงจุดหมาย! ลำแสงของไฟฉายส่องไปกระทบร่างดำ ๆ ของยายลออ...แต่แกไม่มีหัว! ผมสะดุ้งโหยง ผวาเข้าไปกอดแขนแม่ แต่พอเรียกชื่อแกเบา ๆ ร่างนั้นก็ขยับไปมา...อ๋อ! แกนั่งชันเข่า ฟุบหน้าอยู่บนรากใหญ่ของกระบก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้า ๆ

คุณพระช่วย! ผมจะไม่มีวันลืมภาพนั้นไปชั่วชีวิต!

ใบหน้าเล็ก ๆ โดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ผมกระเซิงน่ากลัว นัยน์ตาดำปี๋พองโต น้ำตาไหลรินลงมาตามแก้มเหี่ยวแห้งจนถึงมุมปากห้อยย้อย เสียงคร่ำครวญวู่หวิว...ช่วยด้วย...

แม่เรอเอิ๊กแล้วเป็นลมไป...ผมตกใจร้องแต่ช่วยด้วย ๆ ขณะที่พ่อหันมาหา...เมื่อส่องไฟฉายไปอีกทีก็ไม่เห็นร่างน่าเกลียดน่ากลัวนั่นเสียแล้ว

รุ่งเช้า มีคนไปพบตาเพ็ญนอนตายอยู่ข้าง ๆ ขวดเหล้า นัยน์ตาลืมโพลง แต่ไม่มีวี่แววของเมียแก พ่อชวนเพื่อนบ้านไปที่โคนกระบกก็เห็นหลุมที่เพิ่งกลบได้ไม่นาน...
ศพกำลังเน่าของยายลออถูกฝังอยู่ที่นั่นเอง!

วิญญาณแกมาร้องไห้จนเราได้ยินก็พอจะเข้าใจ แต่ทำไมตาเพ็ญฆ่าเมียแล้วเอาศพไปฝังไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร? พ่อกับแม่ได้ยินผมถามเรื่องนี้ก็ได้แต่สบตา แล้วถอนใจยืดยาว...แปลกจริง ๆ เลยครับ!
เรื่อง... มันมาจากนรก

เรื่องแปลกประหลาดและน่าขนลุกขนพองอีกเรื่อง เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยผมเป็นวัยรุ่น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว แต่มันฝังอยู่ในความทรงจำของผมไม่มีวันลืม

"พี่เลิศ" เป็นหนุ่มหมู่บ้านเดียวกับผม แกอยู่กับลุงเหลือผู้เป็นพ่อ มีน้องชายชื่อล้ำไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ สองพ่อลูกยึดอาชีพทำไร่ทำนาเหมือนกับคนในย่านเดียวกัน

หลังบ้านพี่เลิศเป็นลานกว้าง ถัดไปเป็นกอไผ่กับป่าละเมาะรกร้าง เล่ากันว่าที่นั่นเคยเป็นป่าช้าเก่ามาหลายสิบปีแล้ว แต่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านไม่ค่อยมีใครกลัว ตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ ชอบไปวิ่งเล่นเกรียวกราวกันที่นั่น ตั้งแต่ไล่จับ ซ่อนแอบ จนถึงเตะฟุตบอลกันเฮฮาเป็นประจำ

จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่เลิศเล่าให้พวกเราฟังว่าตอนโพล้เพล้แกออกไปเก็บผักหักฟืนตามปกติ ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้นเข้าพอดี!

ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราแน่นอน รูปร่างบอบบาง ผิวขาว ตาดำโต ผมยาวประบ่าแต่งตัวชุดดำเหมือนชาวบ้านทั่วไป เมื่อพูดคุยด้วยก็บอกว่าเป็นคนที่อยู่หมู่บ้านถัดไป...ทางด้านหลังของป่าละเมาะที่รกทึบนั่นเอง ต่อจากวันนั้น พวกเราก็เห็นพี่เลิศชอบเดินเตร่ไปที่ลานหลังบ้านบ่อยหน...เจ้าอั๋นเพื่อนผมมาเล่าว่า เคยเห็นพี่เลิศกับเด็กสาวคนนั้นเดินหายลับเข้าไปในดงไม้นั่นบ่อย ๆ

ค่ำหนึ่งก็มีคนเห็นผู้หญิงแปลกหน้านั่นเข้ามาเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านใต้ถุนสูงของพี่เลิศ...ไม่ช้าก็ปรากฏว่าพี่เลิศได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นเมีย และพามาอยู่กินอย่างเปิดเผย

พวกเราเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่น่าสนใจอะไรนัก แต่แปลกอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นเมียพี่เลิศในตอนกลางวัน ยกเว้นยามเข้าไต้เข้าไฟจึงจะเห็นรูปเงาวอมแวมของเธอผ่านหน้าต่างไปมา...ไม่รู้ว่าตอนกลางวันหายไปไหนทั้งวัน

ระยะหลัง ๆ ไม่มีใครกล้าไปเล่นที่ลานนั้นอีกแล้ว แต่น่าสังเกตว่าพี่เลิศผ่ายผอมไปจนผิดตา ผิวพรรณดำคล้ำ แก้มตอบ นัยน์ตาลึกกลวงดูเลื่อนลอย...บางครั้งก็ฉายแววหวั่นกลัวอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ บ้านนั้นดูทึบทึม ปราศจากชีวิตชีวาเหมือนเดิมอีกต่อไป บางคืนจะมีเสียงผู้ชายร้องโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยิน!

พี่เลิศมักจะหมกอยู่แต่ในบ้าน มีแต่ลุงเหลือที่ออกมาทำไร่กับซื้อของกินของใช้ที่ร้านชำในหมู่บ้าน ถ้าใครถามถึงพี่เลิศแกก็จะตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า...มันไม่ค่อยสบายน่ะ หรือไม่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเอาดื้อ ๆ
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องน่าสยดสยองขึ้น เมื่อพี่เลิศผูกคอตายที่ต้นมะขามหลังบ้าน! ไม่มีใครรู้ว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่? ลุงเหลือก็ปิดปากเงียบ...ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา พี่ล้ำขึ้นมางานศพพี่ชาย แต่ไม่มีใครเห็นวี่แววของเมียพี่เลิศเลย

น่าแปลกอยู่อย่างที่เผาศพพี่เลิศเสร็จ พี่ล้ำก็ไปขนของจากกรุงเทพฯ กลับมาอยู่บ้านเดิม อ้างว่าเพื่อมาช่วยพ่อทำไร่ทำนา...แต่ตอนค่ำคืนก็มีคนเห็นรูปเงาของผู้หญิงคนเดิมเคลื่อนไหวอยู่บนบ้านนั้นเหมือนเมื่อครั้งที่พี่เลิศยังมีชีวิตอยู่!

พี่ล้ำมาอยู่ได้เดือนเศษ รูปร่างที่เคยกำยำล่ำสันก็ผอมโกรกเหมือนพี่ชายในอดีต แววตาบ่งบอกความหวาดกลัวชนิดสยดสยอง...ตอนดึก ๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนบาดใจไม่ผิดกับเมื่อครั้งพี่เลิศยังมีชีวิตอยู่ จนชาวบ้านซุบซิบกันว่า...พี่ล้ำได้เมียม่ายของพี่ชาย! ผู้หญิงลึกลับคนนั้นก็ได้ฉายาว่า "คนกินผัว"
อีกราวสองเดือนต่อมา พี่ล้ำก็พบจุดจบแบบเดียวกับพี่ชาย นั่นคือ ผูกคอตายที่มะขามต้นเดียวและกิ่งเดียวกัน!!

ลุงเหลือเหมือนคนไม่มีชีวิตวิญญาณ เพื่อนบ้านที่ไปช่วยงานศพเลียบเคียงถามว่าเกิดอะไรขึ้น? แกจะต้องรู้แน่ ๆ เพราะอยู่บ้านเดียวกัน! แต่ลุงเหลือปิดปากเงียบ กระทั่งผู้ใหญ่บ้านอดรนทนไม่ไหว ต้องจับมือถามตรง ๆ ว่า ลูกชายทั้งสองคนเป็นอะไรกันแน่? ทำไมถึงผูกคอตาย? ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน?
คราวนี้ลุงเหลือทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แก้มกระตุก ปากสั่น นัยน์ตาแดงช้ำ...หลุดปากออกมาว่า...มันมีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย!

คนที่ได้ยินถึงกับตะลึงพรึงเพริดไปหมด จนกระทั่งเรื่องร้ายกาจที่สุดอุบัติขึ้นมา และเป็นการปิดฉากความลี้ลับทั้งหมด เมื่อคืนหนึ่งเกิดไฟไหม้บ้านลุงเหลือ...ชาวบ้านที่พากันไปช่วยได้ยินเสียงผู้ชายร้องเสียงโหยหวน เยือกเย็น บ่งบอกความเจ็บปวดสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ

เมื่อไฟดับมอดแล้ว บ้านหลังนั้นกลายเป็นกองเถ้าถ่านเหมือนกองฟอนในเมรุเผาศพ มีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ปัดรังควาน...เพราะเสียงร้องโหยหวนในกองไฟนั้นไม่ใช่เสียงของลุงเหลือ แต่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...เป็นเสียงของผีนรกนั่นเอง!

เครดิตแหล่งข้อมูล : klangsayong


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
ตามข่าวteenee.com จาก LineToday เข้าไปคลิ๊กกดติดตามได้เลย
กระทู้เด็ดน่าแชร์