ศพในโลงจำปา


ศพในโลงจำปา

"ยอมรับว่ามีจริง"


ผมเองไม่เคยเชื่อว่าผีมีจริง และก็ไม่เคยพบพานกับผีแม้แต่ครั้งเดียว แต่คนที่เขาถูกผีหลอกมักจะมาเล่าให้ผมฟังเป็นประจำ ซึ่งผมก็มักจะจดเอาไว้ เพื่อเป็นการเปรียบเทียบกับเรื่องที่ผมเคยได้ยินมาแล้ว แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องเป็นราว และมีข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้อยู่พอสมควร และเจ้าของเรื่องก็เป็นเพื่อนสนิทของผม ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องผีเหมือนกันกับผม แต่หลังจากที่เขาพบกับความสยองของศพในโลงจำปาแล้ว เขาก็เชื่อว่าผีมีจริง และยอมรับว่าวิญญาณนั้น สามารถแสดงแผลงฤทธิ์ได้ หากไม่พอใจขึ้นมา

ขณะนั้นผมทำงานอยู่ที่นครศรีธรรมราช ก็เห็นจะราว ๆ ๓๐ ปีมาแล้วนะครับ ตอนนั้นกำลังมีงานนมัสการพระธาตุนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นงานประจำปี มีผู้คนทั้งจากภาคใต้เอง และจากถิ่นอื่นมาร่วมงานกันอย่างล้นหลาม ตอนนั้นโรงแรมก็ยังไม่มากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ จึงไม่เพียงพอกับจำนวนแขกที่มาเที่ยวงาน จนต้องวิ่งหาโรงแรมนอนกันเป็นจ้าละหวั่น



"หน้าเขาซีดๆ"


นิพนธ์ ลือสกล เป็นเพื่อนสนิทของผมซึ่งเดินทางมานมัสการพระบรมธาตุ และแวะเยี่ยมผม เขาเคยบอกล่วงหน้ามาก่อน แต่ปีนี้เขาไม่ได้บอก ผมจึงไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือไม่ เช้าวันนั้นผมกำลังจะออกไปทำงาน นิพนธ์ก็เข้ามาหาผมที่บ้าน ในมือถือกระเป๋าเสื้อผ้า ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนอดนอน เขามีใบหน้าซีด ๆ มาถึงก็ขอพักผ่อน ผมจึงให้พักผ่อนตามสบาย ตกเย็นจึงจะคุยกัน เพราะผมต้องไปทำงาน

ตกเย็นผมหิ้วสุราอาหาร และกับแกล้มชั้นดี กะจะฉลองกันให้เต็มคราบ แต่เจ้าเพื่อนผมกลับหงอย ไม่ค่อยจะโอภาปราศรัย ได้แต่กระดกน้ำอมฤตลงคอ เหมือนจะดับอารมณ์ ผมจึงกระเซ้าว่า

ว่าไงวะ อกหักหรือไงวะ มาถึงก็นอน พอตกเย็นก็กินเหล้าเฉย ไม่ปริปาก อยากรู้ว่าใครวะ ที่หักอกแก



"ตกเข้าไปเที่ยงคืน"


อกหักกะผีอะไรเล่า คอจะหักน่ะไม่ว่า

อ้าว แกไปมีเรื่องกับใครวะ บอกกันมาเลย กันน่ะมีญาติเป็นผู้กำกับเมืองนครฯ นี่ใครมันมาอวดอำนาจบาทใหญ่ ต้องจัดการมันให้รู้ดำรู้แดงไปเลย

ใครก็จัดการไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องเหนือวิสัยที่จะจัดการ เอาเป็นอันว่าอั๊วรอดมาได้ก็เป็นบุญแล้ว จะเล่าให้ฟังแล้ว อย่าหัวเราะเยาะนะโว๊ย

อั๊วมาถึงนคร ฯ เมื่อคืนวาน ประมาณ ๔ ทุ่มเห็นจะได้ จะแวะมาหาแกก็เห็นว่างานถ้าจะสนุก จึงได้ไปเที่ยวงาน เกิดถูกใจกับสาว ๆ ที่นี่เข้า ก็เลยเที่ยวงานกันจนดึก ส่งเขากลับบ้านแล้ว ก็ตกเข้าไปเที่ยงคืน จะมาหาแกก็เกรงใจ กะว่าจะมาตอนเช้าดีกว่า จึงได้ออกเดินหาโรงแรมที่พัก ให้ตายซีวะ เต็มหมดเลย เดินมาถึงโรงแรมเล็ก ๆ ทางด้านหลังพระธาตุ อ้ายบ๋อยมันก็บอกหน้าตาเฉยว่าเต็ม ตีหนึ่งกว่าแล้ว จะทำยังไง จะนอนบนม้าข้างถนนงั้นหรือ จึงให้บ๋อยไปเรียกเจ้าของโรงแรมลงมา พอเจ้าของโรงแรมลงมา ก็ถามอั๊วว่า



"จะนอนไม่ได้เท่านั้น"


มีอะไรหรือครับ ให้เด็กไปตาม

มีอย่างที่ไหนกันล่ะ เดินทางมาตั้งไกล จะหาที่ซุกหัวนอนก็เต็ม อั๊วไม่ได้นอนฟรีนะ ยินดีจ่ายค่าห้องให้ตามอัตรา หรือพิเศษก็ได้

เพื่อนของผมกล่าวด้วยความโมโหที่ถูกปฏิเสธ เพราะเดินมาจนเหนื่อยแทบจะตายชัก และก็ง่วงนอนมากขึ้นทุกที เจ้าของโรงแรมมองหน้าเพื่อนผมอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า

มีอยู่ห้องหนึ่ง ชั้นบนสุด ถ้าอยากนอนก็ขึ้นไปเลย แต่กลัวว่า เอ้อ จะนอนไม่ได้เท่านั้น



"มีเสียงไอ ขากเสลด จนสะดุ้งตื่น"


มีอย่างที่ไหนวะ คนง่วงนอน มีห้องให้นอนแล้วไม่นอน บ้าน่ะซี

ลื้อพาไปห้องที่อั๊ววาหน่อยก็แล้วกัน นี่กุญแจ

เพื่อนของผมเดินตามบ๋อยขึ้นไปจนถึงห้องดังกล่าวซึ่งอยู่ชั้นบนสุด มีเพียงสองห้องคู่กัน อีกห้องหนึ่งมีแสงไฟลอดออกมา แสดงว่ามีคนอยู่ เจ้าบ๋อยนั่นพอเปิดประตูเสร็จก็เผ่นแน่บลงไป ไม่รอแม้แต่ค่าทิป เพื่อนของผมเลยเข้าไปในห้อง มีเตียงเล็ก ๆ อยู่เตียงหนึ่ง พร้อมโต๊ะหัวเตียง มองไปทางฝาห้องที่ติดกับห้องหนึ่ง มีช่องลมโปร่งแสงสว่างลอดออกมา ด้วยความง่วง จึงซุกหัวนอน

สักเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงไอ และขากเสลด เสียงคนเดินลากเกี๊ยะออกไปนอกห้อง ตรงไปทางห้องน้ำ และมีเสียงอาบน้ำซู่ซ่า ๆ จากนั้น ลากเกี๊ยะก็ดังกลับมาที่ห้อง สักครู่แสงไฟก็ดับสนิท เพื่อนของผมจึงเข้านอน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อมีคนเปิดไฟ แสงสว่างส่องเข้ามาในห้องจนสว่างโล่ง เท่านั้นไม่พอ มีเสียงลากโต๊ะเก้าอี้ดังโกรกกราก ก๊อกแก๊ก สลับด้วยเสียงเดินลากเกี๊ยะ



"กุญแจล็อคห้องสนิท"


เพื่อนของผมนอนไม่หลับ ได้แต่แช่งด่าในใจว่า อ้ายพวกคนไม่มีความเกรงใจ จะลุกออกไปเอะอะ ก็นึกได้ว่า เขามีสิทธิ์ของเขา ในห้องของเขา เราไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามเขาแต่อย่างไร ในที่สุดก็ต้องหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะเสียงกระแอม และขากทุด ดังสลับกับการลากเกี๊ยะไปรอบ ๆ ห้อง จนนาฬิกาหมุนไปจนใกล้จะรุ่ง ไฟจึงดับ และเสียงทั้งหลายก็เงียบหายไป

เพื่อนของผมลุกขึ้นจากเตียง เพื่อจะดูหน้าเพื่อนข้างห้องให้ถนัดว่า หน้าตาเป็นอย่างไร ถึงได้ไร้มารยาทนัก แต่พอออกไปก็เห็นว่า กุญแจห้องคล้องปิดสนิท แสดงว่าเจ้าของห้องไม่ได้อยู่ภายใน จึงเดินไปอาบน้ำ และกลับมาแต่งตัว เดินลงมาข้างล่างเพื่อจะจ่ายค่าห้อง แล้วบ่นร้องทุกข์เรื่องเพื่อนข้างห้อง อันมีมารยาททราม


"เปิดเข้าไปในห้อง ตาเหลือก"



นี่แน่ะเถ้าแก่ เมื่อคืนข้างห้องผมเขาชื่ออะไร มาจากไหน ผมขอดูชื่อหน่อยซิ อ้ายคนไม่รู้จักเกรงใจคน เปิดไฟนอนยังไม่พอ เดี๋ยวขากทุด เดี๋ยวเดินลากเกี๊ยะ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวลากโต๊ะไปมา อั๊วอยากตบหน้ามันนัก

เถ้าแก่ทำหน้าตื่นร้องเสียงหลง ว่าไงนะ ข้างห้องมีคนอยู่ เดินลากเกี๊ยะด้วย ขากทุดด้วย แล้วลากเก้าอี้ด้วย เปิดไฟนอนทั้งคืน เป็นไปไม่ได้ ไม่เชื่อไปดูกับผมเลย

เดินตามเถ้าแก่เจ้าของโรงแรมขึ้นไปบนห้องที่ค้างคืน แล้วเดินไปยังห้องที่อยู่ติดกัน เอากุญแจไขเข้าไป แล้วเปิดไฟดังแก๊ก เพื่อนของผมตาเหลือกลานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นภาพในห้องนั้นเต็มตา



"มีกลิ่นอับๆในห้อง"


ที่กลางห้องด้านที่ติดผนัง มีโลงจำปาแบบจีนคลุมด้วยผ้าแพร ตั้งอยู่บนโต๊ะ มีเครื่องบูชาแบบจีน และดอกไม้ใส่แจกันไว้ กลิ่นในห้องอับ ๆ ทำให้รู้สึกอึดอัดทั้งห้อง ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ นอกจากพื้นว่างเปล่า ไม่มีเตียง ไม่มีเครื่องนอน เสียงเถ้าแก่พูดเบา ๆ ว่า

อ้ายผมจะไม่ให้พักก็เกรงใจ เพราะท่าทางกำลังโกรธ จึงให้เข้านอนห้องข้าง ๆ ศพในโลงจำปานั่นน่ะ เตี่ยผม ผมเก็บเอาไว้รอฤกษ์ไปฝัง ปกติไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามบนนี้ มีคุณเป็นคนแรก เพราะผมเกรงใจคุณ ต่อไปผมจะไม่ให้ใครมานอนอีก เตี่ยผมคงจะไม่พอใจที่มีใครมายุ่มย่ามในที่ ๆ แกนอนอยู่ก็เป็นได้ ผมต้องขอโทษด้วย



"เห็นในห้องแทบช็อค"


เพื่อนของผมกระแทกเหล้าลงคออีกครั้งด้วยความอึดอัด ก่อนจะกล่าวเป็นคำสุดท้ายถึงเรื่องนี้ว่า อั๊วไม่เคยเชื่อว่าผีมีจริง แต่มันหลอกอั๊วร้อยสีพันอย่าง จนอั๊วรำคาญ ภาพที่อั๊วเห็นในห้อง ทำให้อั๊วแทบช็อค ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยจริง ๆ

ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ นิพนธ์ ลือสกล เพื่อนสนิทของผมที่ได้ประสบมาด้วยตัวเอง ผมลงทุนไปสอบถามที่โรงแรมแห่งนั้น (ขอสงวนเพื่อเหตุผลทางการค้าของเขา) ก็พบว่า มีการตั้งศพไว้จริง และเมื่อผมขอเช่าห้องที่อยู่ติดกับห้องเก็บศพ ทางบ๋อยก็ตอบว่า

เถ้าแก่สั่งห้ามเด็ดขาด ไม่ให้ใครเข้าไปพักห้องนั้น ไม่ว่าจะให้เงินแค่ไหน ก็ไม่ให้เช่า




แหล่งข้อมูล : บอร์ดรวมเรื่องสยองขวัญ


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์