ชมพู่หลังบ้าน ผีหลอกแบบเต็มคาราเบล
ตอนอายุสิบกว่าขวบ สมัยที่ผมยังอยู่ที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง คือ ผมชอบไปดูศพคนตายก่อนจะเผาแทบทุกศพ กลัวนะ แต่จะต้องมุดต้องเบียดคนเข้าไปดูให้ได้ ยิ่งศพไหนตายมาแบบตายโหง ตายไม่ธรรมชาตินี้ยิ่งเร้าใจ
ตอนนั้น มียายคนหนึ่งแกเสียชีวิตลง เป็นยายแก่ๆ ลูกหลานไม่มี มีที่ดินผืนเล็กๆ ปลูกบ้านอาศัยอยู่ลำพัง พอแกตายลง พวกแก๊งผมสี่คนก็พากันกลัว เพราะชอบพากันไปขโมยผลไม้ในสวนแก ให้แกเห็นบ่อยๆ แต่แกไล่เราไม่ทัน เราก็ได้ใจ ไปเอาอีก เพราะบ้านแกเดินตัดสวนหลังโรงเรียนไปนิดเดียวก็ถึง แล้วแกปลูกไว้หลากหลาย ทั้งลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง มะปราง แตงไทย ฝรั่ง ของจับกินได้ทันทีทั้งนั้น
พอแกตายลง เพื่อนบ้านก็ช่วยเป็นธุระจัดการศพให้ ชาวบ้านก็ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ตัวผมเองก็ไปบวชเณรหน้าไฟให้แก ไม่ใช่ว่าสำนึกผิดที่ขโมยผลไม้แกบ่อยหรืออะไรหรอก แต่เพราะชาวบ้านจ้างให้บวชหน้าไฟตามความเชื่อ เพราะยายแกไม่มีลูกหลาน เดี๋ยวไม่มีผ้าเหลืองนำวิญญาณ เขาว่างั้น
พอเอาศพไปตั้งหน้าเมรุ เปิดโลงเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ ผมก็ไปยืนดูศพเหมือนเดิม ได้ยินคนบอกกันว่า แกปีนต้นละมุดแล้วพลัดตกลงมาคอหักตาย พอผมไปดูก็ไม่เห็นแตกต่างจากศพคนแก่ทั่วไป คงเพราะไม่ได้ไปจับคอศพแกหมุนดู
พอเผาเสร็จ ประเพณีของคนบ้านผมคือ เขาจะเอาโกศเล็กๆ มาใส่กระดูกแล้วพากลับไปไว้ที่บ้าน ชาวบ้านก็ช่วยทำให้ยายแกเหมือนกัน
ทีนี้พอแกตาย บ้านแก สวนแก ก็ร้างเพราะไม่มีใครมารับสานต่อ รู้มาว่าแกยังพอมีญาติๆ เหลืออยู่ แต่อยู่ไกลและเป็นญาติห่างๆ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางไปติดต่อให้มารับสมบัติของยายแก แต่ญาติทางนั้นบอกมีเวลาจะมา แต่ก็ไม่เห็นมาสักที
พอยายแกตาย พวกผมก็คิดว่าหวานหมูเลย ผลไม้เต็มสวนไม่มีคนเฝ้า ผมก็พากันลูบปาก บุกไปถึงที่ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้วเดินตรงแหน่วๆ เข้าไปสอยเอาดื้อๆ เลย ครั้งแรกผ่านไป ครั้งสอง ครั้งสามค่อยๆ ผ่านไป หลงผิดคิดภาคภูมิใจ ที่ขโมยกินง่ายขนาดนี้
แต่ต่อมา ครั้งนั้นผมไม่ได้ไปกับเพื่อนด้วย เพื่อนมันมาบอกกันว่า ชมพู่ในสวนยายแกกำลังสุกและดกมาก จะพากันไปเอา พอดีผมติดซ้อมท่องบทอาขยานจะไปแข่งวิชาการ เลยไม่ได้ไปด้วย เพื่อนผมมันเลยพากันไปสามคน
ต้นชมพู่ที่ว่านั้น สมัยยายแกยังอยู่ ไม่มีใครไปเอาขอแกมากินได้ เพราะต้นมันอยู่ติดบ้านแกเลยและแกโคตรหวง ประมาณว่าสามีแกเป็นคนปลูกร่วมกับแก ไว้เป็นพยานรักสมัยยังหนุ่มสาว พอสามียายแกตายไปก่อน ยายแกก็อยู่คนเดียวมาร่วมสิบปี จนสุดท้ายก็เสียไปอีกคน
แต่ว่าผ่านไปไม่นาน พวกเพื่อนๆ ผมก็พากันกลับมา ในสภาพเสื้อผ้าเต็มไปด้วยพวกลูกไม้หนามเกาะติดเต็มทั้งเสื้อทั้งกางเกง หน้าตามอมแมม มีรอยขีดข่วนเต็มตัว โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ผมเห็นพวกมันพากันมานั่งหอบอยู่ก็เลยเข้าไปถามดูว่าไหนชมพู่ มันก็พากันแย่งตอบบอก ใครจะกินก็ไปเอาเถอะ พวกกูไม่ไปเอาแล้ว ผมก็ถาม อ้าวทำไมวะ มันก็เล่าให้ฟังว่า มันก็พากันไปต้นชมพู่หลังบ้านยายแกนั่นแหละ เตรียมถุงไปใส่ด้วย แต่ต้นมันสูง สอยไม่ค่อยถึง เพื่อนคนนึงเลยต้องปีนขึ้นต้น เพราะยอดบนๆ มันดกดี
มันว่ามันก็ปีนขึ้นไปถึงคาคบต้นที่กิ่งก้านกระจายแยกไป กำลังนั่งๆ จะสอย ตรงจุดนั้นมันตรงกับหน้าต่างบ้านยายแกพอดี เพื่อนก็หันหลังให้แล้วตั้งใจสอยชมพู่ พอกำลังสอยๆ อยู่ เพื่อนมันรู้สึกแปลกๆ เลยหันไปมอง ตาก็จ๊ะเอ๋กับรูปตั้งหน้าศพกับโกศกระดูกยายแกกับผัวพอดี เพราะชาวบ้านเขาเอามาตั้งไว้คู่กัน
มันว่าตอนนั้นในบ้านมืดๆ อึมครึม มันก็เห็นว่ามีใครยืนเป็นเงาอยู่ข้างตู้ ร่างนั้นกำลังมองมันอยู่ มันก็หยุดสอยหันไปเพ่งมองอย่างตั้งใจ ตอนนั้นมือไม้ขาแข้งมันก็เริ่มสั่นแล้ว แล้วเงาที่ว่าก็ส่งเสียงดังลั่นมาเลยว่า
"เป็นนักเรียน ทำไมพากันมาขโมยของคนอื่น หือออ!"
เพื่อนคนที่ปีนอยู่มันก็ปล่อยไม้ รีบรูดตัวลงต้นชมพู่อย่างไว แล้วโกยแน่บ อีกสองคนมันก็ยังยืนงง แต่พอเห็นว่ามีคนมายืนเกาะขอบหน้าต่างเท่านั้นแหละ มันก็พากันแหกปากร้องผีหลอก วิ่งไม่คิดชีวิตกลับโรงเรียน ฝ่าดงพืชหนาม จนหนามเกี่ยว กิ่งไม้ขูดเต็มตัว สุดท้ายก็พากันมานั่งหอบอยู่อย่างที่เห็น
ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าผียายแกจะเฮี้ยน จะหวงชมพู่ได้มากขนาดนี้ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะเช้าวันนั้นครูฝ่ายปกครองประกาศเรียกเพื่อนทั้งสามคนของผมออกไปหน้าเสาธง แล้วประกาศเกียรติคุณให้นักเรียนในโรงเรียนได้ทราบว่า
"เมื่อวานนี้ มีนักเรียนของเราแอบออกนอกโรงเรียน ไปขโมยผลไม้ชาวบ้าน แล้วญาติเจ้าของสวนมาแจ้งให้ครูทราบเมื่อเย็นวาน ครูสืบพบแล้วว่าเป็นสามคนนี้ เนื่องจากเมื่อวานมีครูเห็นว่าสามคนนี้วิ่งหอบมาจากป่าหลังโรงเรียน จึงขอเฆี่ยนเพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ ว่าผียายแกเฮี้ยนสุดๆ ส่งไม้เรียวมาประทับตูดเพื่อนผมได้ครบทุกคนทั้งๆ ที่ตายไปแล้วแท้ๆ มันซวยจริงๆ ที่พากันไปขโมยตอนญาติห่างๆ ของยายแกมาอยู่บนบ้านพอดี..
เครดิตแหล่งข้อมูล :klangsayong
ตอนนั้น มียายคนหนึ่งแกเสียชีวิตลง เป็นยายแก่ๆ ลูกหลานไม่มี มีที่ดินผืนเล็กๆ ปลูกบ้านอาศัยอยู่ลำพัง พอแกตายลง พวกแก๊งผมสี่คนก็พากันกลัว เพราะชอบพากันไปขโมยผลไม้ในสวนแก ให้แกเห็นบ่อยๆ แต่แกไล่เราไม่ทัน เราก็ได้ใจ ไปเอาอีก เพราะบ้านแกเดินตัดสวนหลังโรงเรียนไปนิดเดียวก็ถึง แล้วแกปลูกไว้หลากหลาย ทั้งลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง มะปราง แตงไทย ฝรั่ง ของจับกินได้ทันทีทั้งนั้น
พอแกตายลง เพื่อนบ้านก็ช่วยเป็นธุระจัดการศพให้ ชาวบ้านก็ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ตัวผมเองก็ไปบวชเณรหน้าไฟให้แก ไม่ใช่ว่าสำนึกผิดที่ขโมยผลไม้แกบ่อยหรืออะไรหรอก แต่เพราะชาวบ้านจ้างให้บวชหน้าไฟตามความเชื่อ เพราะยายแกไม่มีลูกหลาน เดี๋ยวไม่มีผ้าเหลืองนำวิญญาณ เขาว่างั้น
พอเอาศพไปตั้งหน้าเมรุ เปิดโลงเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ ผมก็ไปยืนดูศพเหมือนเดิม ได้ยินคนบอกกันว่า แกปีนต้นละมุดแล้วพลัดตกลงมาคอหักตาย พอผมไปดูก็ไม่เห็นแตกต่างจากศพคนแก่ทั่วไป คงเพราะไม่ได้ไปจับคอศพแกหมุนดู
พอเผาเสร็จ ประเพณีของคนบ้านผมคือ เขาจะเอาโกศเล็กๆ มาใส่กระดูกแล้วพากลับไปไว้ที่บ้าน ชาวบ้านก็ช่วยทำให้ยายแกเหมือนกัน
ทีนี้พอแกตาย บ้านแก สวนแก ก็ร้างเพราะไม่มีใครมารับสานต่อ รู้มาว่าแกยังพอมีญาติๆ เหลืออยู่ แต่อยู่ไกลและเป็นญาติห่างๆ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางไปติดต่อให้มารับสมบัติของยายแก แต่ญาติทางนั้นบอกมีเวลาจะมา แต่ก็ไม่เห็นมาสักที
พอยายแกตาย พวกผมก็คิดว่าหวานหมูเลย ผลไม้เต็มสวนไม่มีคนเฝ้า ผมก็พากันลูบปาก บุกไปถึงที่ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้วเดินตรงแหน่วๆ เข้าไปสอยเอาดื้อๆ เลย ครั้งแรกผ่านไป ครั้งสอง ครั้งสามค่อยๆ ผ่านไป หลงผิดคิดภาคภูมิใจ ที่ขโมยกินง่ายขนาดนี้
แต่ต่อมา ครั้งนั้นผมไม่ได้ไปกับเพื่อนด้วย เพื่อนมันมาบอกกันว่า ชมพู่ในสวนยายแกกำลังสุกและดกมาก จะพากันไปเอา พอดีผมติดซ้อมท่องบทอาขยานจะไปแข่งวิชาการ เลยไม่ได้ไปด้วย เพื่อนผมมันเลยพากันไปสามคน
ต้นชมพู่ที่ว่านั้น สมัยยายแกยังอยู่ ไม่มีใครไปเอาขอแกมากินได้ เพราะต้นมันอยู่ติดบ้านแกเลยและแกโคตรหวง ประมาณว่าสามีแกเป็นคนปลูกร่วมกับแก ไว้เป็นพยานรักสมัยยังหนุ่มสาว พอสามียายแกตายไปก่อน ยายแกก็อยู่คนเดียวมาร่วมสิบปี จนสุดท้ายก็เสียไปอีกคน
แต่ว่าผ่านไปไม่นาน พวกเพื่อนๆ ผมก็พากันกลับมา ในสภาพเสื้อผ้าเต็มไปด้วยพวกลูกไม้หนามเกาะติดเต็มทั้งเสื้อทั้งกางเกง หน้าตามอมแมม มีรอยขีดข่วนเต็มตัว โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ผมเห็นพวกมันพากันมานั่งหอบอยู่ก็เลยเข้าไปถามดูว่าไหนชมพู่ มันก็พากันแย่งตอบบอก ใครจะกินก็ไปเอาเถอะ พวกกูไม่ไปเอาแล้ว ผมก็ถาม อ้าวทำไมวะ มันก็เล่าให้ฟังว่า มันก็พากันไปต้นชมพู่หลังบ้านยายแกนั่นแหละ เตรียมถุงไปใส่ด้วย แต่ต้นมันสูง สอยไม่ค่อยถึง เพื่อนคนนึงเลยต้องปีนขึ้นต้น เพราะยอดบนๆ มันดกดี
มันว่ามันก็ปีนขึ้นไปถึงคาคบต้นที่กิ่งก้านกระจายแยกไป กำลังนั่งๆ จะสอย ตรงจุดนั้นมันตรงกับหน้าต่างบ้านยายแกพอดี เพื่อนก็หันหลังให้แล้วตั้งใจสอยชมพู่ พอกำลังสอยๆ อยู่ เพื่อนมันรู้สึกแปลกๆ เลยหันไปมอง ตาก็จ๊ะเอ๋กับรูปตั้งหน้าศพกับโกศกระดูกยายแกกับผัวพอดี เพราะชาวบ้านเขาเอามาตั้งไว้คู่กัน
มันว่าตอนนั้นในบ้านมืดๆ อึมครึม มันก็เห็นว่ามีใครยืนเป็นเงาอยู่ข้างตู้ ร่างนั้นกำลังมองมันอยู่ มันก็หยุดสอยหันไปเพ่งมองอย่างตั้งใจ ตอนนั้นมือไม้ขาแข้งมันก็เริ่มสั่นแล้ว แล้วเงาที่ว่าก็ส่งเสียงดังลั่นมาเลยว่า
"เป็นนักเรียน ทำไมพากันมาขโมยของคนอื่น หือออ!"
เพื่อนคนที่ปีนอยู่มันก็ปล่อยไม้ รีบรูดตัวลงต้นชมพู่อย่างไว แล้วโกยแน่บ อีกสองคนมันก็ยังยืนงง แต่พอเห็นว่ามีคนมายืนเกาะขอบหน้าต่างเท่านั้นแหละ มันก็พากันแหกปากร้องผีหลอก วิ่งไม่คิดชีวิตกลับโรงเรียน ฝ่าดงพืชหนาม จนหนามเกี่ยว กิ่งไม้ขูดเต็มตัว สุดท้ายก็พากันมานั่งหอบอยู่อย่างที่เห็น
ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าผียายแกจะเฮี้ยน จะหวงชมพู่ได้มากขนาดนี้ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะเช้าวันนั้นครูฝ่ายปกครองประกาศเรียกเพื่อนทั้งสามคนของผมออกไปหน้าเสาธง แล้วประกาศเกียรติคุณให้นักเรียนในโรงเรียนได้ทราบว่า
"เมื่อวานนี้ มีนักเรียนของเราแอบออกนอกโรงเรียน ไปขโมยผลไม้ชาวบ้าน แล้วญาติเจ้าของสวนมาแจ้งให้ครูทราบเมื่อเย็นวาน ครูสืบพบแล้วว่าเป็นสามคนนี้ เนื่องจากเมื่อวานมีครูเห็นว่าสามคนนี้วิ่งหอบมาจากป่าหลังโรงเรียน จึงขอเฆี่ยนเพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ ว่าผียายแกเฮี้ยนสุดๆ ส่งไม้เรียวมาประทับตูดเพื่อนผมได้ครบทุกคนทั้งๆ ที่ตายไปแล้วแท้ๆ มันซวยจริงๆ ที่พากันไปขโมยตอนญาติห่างๆ ของยายแกมาอยู่บนบ้านพอดี..
เครดิตแหล่งข้อมูล :klangsayong
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น