หนองน้ำอาถรรพ์ – เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเอง ได้เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2546 ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พิจารณาแล้วว่าสมควรที่จะนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านฟัง เพราะจะได้รู้ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์อยู่ และเป็นเรื่องยากนักที่จะเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ขึ้นให้เห็นสักครั้งหนึ่ง จึงขอฝากท่านผู้รู้ผู้มีปัญญาพิจารณาดูด้วยตนเองเถิด เรื่องราวมีดังต่อไปนี้
เรื่องมีอยู่ว่า ชาญ เป็นลูกชายคนที่ 2 ของคุณลุงข้าพเจ้า เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แต่ไม่ได้เรียนต่อ จึงไปเรียนขับรถกับญาติฝ่ายพ่อที่อยู่ในเมืองได้ 1 ปี ต่อมาก็ได้ไปหางานทำที่กรุงเทพฯ โดยมีเพื่อนฝูงที่ไปทำงานก่อนช่วยติดต่อหางานให้ คือ ขับรถแท็กซี่รับจ้าง โดยเช่าจากเถ้าแก่เป็นรายวันและให้ค่าประกันพร้อมเสร็จ
เขาขับรถแท็กซี่รับจ้างอยู่ได้ปีกว่า เถ้าแก่ก็ให้ไปขับรถที่บ้านส่งลูก ๆ ไป-กลับโรงเรียน คงจะเป็นเพราะเขาเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ได้เงินเดือน 7,000 บาท ให้ที่พักอยู่ด้วย โดยไม่ได้เสียค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ แต่ประการใด
ต่อมาชาญได้ไปรู้จักกับสาวสวยคนหนึ่ง มีอาชีพเป็นแม่ค้าขายอาหารอีสาน มีลาบ ต้ม ส้มตำ อยู่แถวนางเลิ้ง เป็นคนภาคอีสานเช่นเดียวกัน บ้านอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ชาญได้ไปอุดหนุนร้านนี้เป็นประจำ ความคุ้นเคยสนิทสนม ทำให้เกิดความรักความเห็นใจกันขึ้น และได้ไปมาหาสู่กันเป็นเวลานานเกือบปี ทั้งสองก็ตกลงจะแต่งงานกัน ชาญเขาได้เก็บหอมรอมริบเงินทองไว้ได้พอสมควร จึงขอลาออกจากงานเพื่อกลับบ้านพร้อมด้วยสาวคนรัก
เมื่อไปถึงบ้านก็ได้เล่าความเป็นไปในความรักกับสาวคนนี้และตกลงจะแต่งงานกัน พ่อแม่เมื่อรู้ก็ไม่ได้ห้าม เพราะถึงเวลาสมควรที่จะแต่งงานแล้ว เงินทองก็เก็บหอมรอมริบมาได้ ถึงวันฤกษ์งามยามดีก็ไปสู่ขอ พร้อมค่าสินสอดทองหมั้น และกำหนดวันแต่งงานด้วย
เมื่อถึงกำหนดวันแต่งงานก็ได้จัดการเครื่องขันหมาก ข้าวของจำเป็นขึ้นรถสองแถว 1 คัน พร้อมด้วยญาติพี่น้องร่วมไปด้วย 20 คน ออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 ในวันนั้น เพื่อให้ทันเวลาการแต่งงาน ในวันนั้นข้าพเจ้าก็ไปร่วมงานด้วย
ไปถึงบ้านเจ้าสาวเวลาประมาณ 07.30 น. ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 12 กิโลเมตร พวกเราได้รับการต้อนรับจากฝ่ายเจ้าสาวเป็นอย่างดี และเป็นกันเองทุกอย่าง เมื่อถึงกำหนดเวลาแต่งงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เข้าพิธี นั่งเคียงคู่กันหน้าต้นบายศรี เพื่อทำพิธีสู่ขวัญตามประเพณีของชาวอีสานบ้านเฮา เมื่อเสร็จพิธีแล้วต่างก็ผูกข้อมือ ให้ศีลให้พรกัน ต่อจากนั้นก็มีการสัมมาคารวะเจ้าโคตร ญาติผู้ใหญ่ พ่อแม่แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี
จากนั้นก็มีการเลี้ยงข้าวปลาอาหาร เหล้า เบียร์ กัน โดยเฉพาะเจ้าภาพทางฝ่ายหญิงเลี้ยงฝ่ายชาย มีการพูดหยอกเย้าสนุกสนานเฮฮากันอยู่ประมาณเกือบเที่ยงวันก็ได้พักผ่อน จนถึงเวลาบ่าย 2 ทางฝ่ายญาติเจ้าบ่าวก็อำลากลับบ้าน ก่อนจะกลับทางญาติฝ่ายเจ้าสาวก็ได้เตรียมอาหารการกินฝาก เพื่อจะได้ไปรับประทานระหว่างทางในเวลาหิว
ได้เวลาก็พากันสั่งลา แล้วก็พากันไปขึ้นรถเดินทางกลับบ้าน รถได้มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง แล้วออกถนนใหญ่มุ่งหน้าสู่จังหวัดยโสธร
พอรถวิ่งผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะไปประมาณ 30 กิโลเมตร พวกเราก็มองเห็นหนองน้ำแห่งหนึ่งและที่ริมฝั่งก็มีต้นหว้าใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากถนนใหญ่ไปประมาณ 15 วา ข้าพเจ้าจึงบอกคนขับรถให้ชะลอ แล้วไปหยุดลงใต้ร่มหว้า เพื่อหยุดพักและรับประทานอาหาร
เมื่อรถหยุดทุกคนพากันทยอยลงจากรถและพักอยู่ใต้ร่มหว้า เพื่อหยุดพักและรับประทานอาหาร ส่วนใหญ่ไม่ลงไปอาบน้ำ มีแต่ข้าพเจ้าและผู้หญิงแก่ ๆ 3-4 คน ที่อาบน้ำในหนองนั้น เพราะอากาศร้อนเหลือเกิน
เมื่อพากันลงไปอาบน้ำ แทนที่จะอาบน้ำล้างตัวธรรมดาก็หาไม่ แต่พากันเล่นน้ำ เอามือกระทุ้งน้ำให้ดังเป็นเสียงกลอง พร้อมร้องเพลง และหยอกเย้ากัน เสียงหัวเราะเฮฮากันกึกก้องไปหมดในบริเวณนั้น นอกจากนั้นแล้วก็พากันไปเด็ดเอาดอกบัวมาเล่นกัน
ห่างจากหนองน้ำไปทางทิศเหนือประมาณ 8 วา เป็นเนินดินที่ราบสูงประมาณ 1 ไร่ มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ตรงกลาง ใต้ต้นโพธิ์มีศาลเจ้าปู่ตาตั้งอยู่ มีต้นตะเคียน ต้นตะแบก ต้นประดู่ ต้นเต็งรัง เรียงรายกันไปในบริเวณนั้น และมีกอไผ่ป่า 5-6 กอ เรียงกันล้อมรอบในเนินดินนั้น ทุกคนที่ลงไปเล่นน้ำในหนองหารู้ไม่ว่า หนองน้ำนี้เป็นที่หวงแหนของเจ้าปู่ตามาช้านานแล้ว ใครจะล่วงเกินไม่ได้
ในขณะที่พากันลงเล่นน้ำสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่นั้น ได้เกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้น คือ ได้มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเท่าต้นมะพร้าว สีขาวสลับดำ โผล่หัวชูคอพ้นน้ำขึ้นราว 3 ศอก อ้าปากแลบลิ้น ตาทั้งสองเท่าไข่เป็ด และมีสีแดงเหมือนไฟ ทุกคนเมื่อมองเห็นต่างตกตะลึง ร้องกรี๊ด! พากันตะเกียกตะกายหนีขึ้นฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต ผู้หญิงบางคนเมื่อถึงฝั่งก็สลบ ต้องช่วยกันพยาบาลอยู่นานจึงฟื้น เมื่อทุกคนขึ้นฝั่ง งูใหญ่ตัวนั้นก็มุดดำลงน้ำหายไป
ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เมื่อขึ้นจากหนองน้ำกันหมดแล้ว นึกว่าจะรับประทานอาหาร ทุกคนกลับบอกว่าไม่ต้อง รีบกลับบ้านดีกว่าเพราะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น
ต่อจากนั้นก็พากันทยอยขึ้นรถเตรียมตัวจะเดินทางกลับบ้าน แต่พอคนขับรถไปสตาร์ทรถกลับไม่ติด สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด ได้ตรวจดูน้ำมันเครื่องยนต์ สายไฟ ตรวจดูทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นปกติดี ทุกคนเศร้าใจไปตาม ๆ กัน จึงพากันลงจากรถ นั่งจับกลุ่มคอยรอเวลารถจะติด
ในขณะนั้นมีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาใกล้ ๆ สะพายข้องเอาแหพาดบ่า เข้าใจว่าคงไปทอดแหหาปลากลับมา ได้เห็นพวกเรานั่งจับกลุ่มกัน และเห็นคนขับรถกำลังสตาร์ทรถอยู่แต่ไม่ติด จึงถามว่า "พวกท่านมาจากไหน และจะไปไหน"
ข้าพเจ้าบอกว่า "มาจากจังหวัดร้อยเอ็ด ไปงานแต่งหลานชาย เสร็จแล้วจะพากันกลับจังหวัดยโสธร และได้มาแวะพักผ่อนอาบน้ำที่หนองนี้แล้วจะพากันกลับบ้าน แต่สตาร์ทรถไม่ติด ไม่รู้เป็นอะไร ได้ตรวจดูรถก็ปกติดีครับ"
ชายคนนั้นได้กล่าวต่อไปอีกว่า "ที่พากันลงอาบน้ำ ได้ขออนุญาตเจ้าปู่ตาก่อนหรือเปล่า" พร้อมกับชี้มือไปที่ต้นโพธิ์ใหญ่ "ได้พากันส่งเสียงดังหรือเปล่าครับ"
"พวกผมผิดไปแล้ว เพราะไม่รู้ว่าเจ้าปู่เจ้าตาจะหวงห้าม กรุณาช่วยพวกผมด้วยครับ"
ชายคนนั้นได้บอกว่า "ให้คนไปหาดอกไม้มา ถ้ามีธูปเทียนด้วยยิ่งดี ท่านเจ้าปู่ตาใจดีอยู่ดอก ผมรู้ดีเพราะที่นาผมก็ติดอยู่กับหนองน้ำแห่งนี้"
จากนั้นก็ได้ให้คนรีบไปหาธูปเทียน ดอกไม้ บังเอิญมีเหลืออยู่ในรถ พอหามาได้ แล้วชายคนนั้นก็พาพวกเราทั้งหมดไปที่ศาลเจ้าปู่ตาใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ เมื่อไปถึงก็ได้พร้อมกันกราบ แล้วชายคนนั้นก็จุดธูปเทียนวางดอกไม้ในจาน และได้กล่าวคำขอขมาลาโทษแทนพวกเราว่า
"เจ้าปู่ตาเอ๋ย พวกญาติพี่น้องมาจากร้อยเอ็ดไปงานแต่ง จะเดินทางกลับยโสธรได้พากันมาพักที่ร่มไม้อาบน้ำในหนอง เพราะไม่รู้ว่าเจ้าปู่ตาหวงแหน ได้กระทำผิดไปแล้ว โปรดจงยกโทษให้อภัย อโหสิกรรมให้พวกญาติพี่น้องทางไกลด้วยเถอะ"
เวลาก็เกือบจะโพล้เพล้แล้ว ทันใดนั้นเทียนที่จุดไว้ก็ดับวูบลงทันที แสดงว่าเจ้าปู่ตาได้ให้อภัยเราแล้ว จึงพากันกลับบ้านโดยไม่ต้องพะวักพะวนต่อไป
ทุกคนพากันดีใจไปตาม ๆ กัน ต่างยกมือประนมกล่าวขอบคุณเจ้าปู่ตาและขออำลา เมื่อพากันไปหารถ คนขับขึ้นไปสตาร์ทครั้งเดียวก็ติดอย่างน่าแปลกประหลาดใจ ทุกคนต่างดีใจกล่าวขอบคุณและอำลาชายใจดีคนนั้น แล้วพากันขึ้นรถออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดยโสธร
ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันว่า น่าอัศจรรย์ งูใหญ่ตัวนั้นคงจะเป็นเจ้าปู่ตาจำแลงมาบอกเรา และทำให้เราสตาร์ทไม่ติด แต่เมื่อขอขมาลาโทษแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปในทางที่ดี สิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์มีจริงในโลกนี้ มีอยู่ 4-5 คนที่ร่วมมาในรถบอกว่า ไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเห็นสิ่งลี้ลับอย่างนี้ บัดนี้เชื่อแล้ว เพราะได้รู้เหตุการณ์และเห็นด้วยตา
ค่ำมากแล้วตะวันกำลังจะลับฟ้า ฝูงนกกาพากันทยอยบินกลับคืนคอนพวกเราได้พากัน กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพทุกประการ
เรื่องมีอยู่ว่า ชาญ เป็นลูกชายคนที่ 2 ของคุณลุงข้าพเจ้า เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แต่ไม่ได้เรียนต่อ จึงไปเรียนขับรถกับญาติฝ่ายพ่อที่อยู่ในเมืองได้ 1 ปี ต่อมาก็ได้ไปหางานทำที่กรุงเทพฯ โดยมีเพื่อนฝูงที่ไปทำงานก่อนช่วยติดต่อหางานให้ คือ ขับรถแท็กซี่รับจ้าง โดยเช่าจากเถ้าแก่เป็นรายวันและให้ค่าประกันพร้อมเสร็จ
เขาขับรถแท็กซี่รับจ้างอยู่ได้ปีกว่า เถ้าแก่ก็ให้ไปขับรถที่บ้านส่งลูก ๆ ไป-กลับโรงเรียน คงจะเป็นเพราะเขาเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ได้เงินเดือน 7,000 บาท ให้ที่พักอยู่ด้วย โดยไม่ได้เสียค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ แต่ประการใด
ต่อมาชาญได้ไปรู้จักกับสาวสวยคนหนึ่ง มีอาชีพเป็นแม่ค้าขายอาหารอีสาน มีลาบ ต้ม ส้มตำ อยู่แถวนางเลิ้ง เป็นคนภาคอีสานเช่นเดียวกัน บ้านอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ชาญได้ไปอุดหนุนร้านนี้เป็นประจำ ความคุ้นเคยสนิทสนม ทำให้เกิดความรักความเห็นใจกันขึ้น และได้ไปมาหาสู่กันเป็นเวลานานเกือบปี ทั้งสองก็ตกลงจะแต่งงานกัน ชาญเขาได้เก็บหอมรอมริบเงินทองไว้ได้พอสมควร จึงขอลาออกจากงานเพื่อกลับบ้านพร้อมด้วยสาวคนรัก
เมื่อไปถึงบ้านก็ได้เล่าความเป็นไปในความรักกับสาวคนนี้และตกลงจะแต่งงานกัน พ่อแม่เมื่อรู้ก็ไม่ได้ห้าม เพราะถึงเวลาสมควรที่จะแต่งงานแล้ว เงินทองก็เก็บหอมรอมริบมาได้ ถึงวันฤกษ์งามยามดีก็ไปสู่ขอ พร้อมค่าสินสอดทองหมั้น และกำหนดวันแต่งงานด้วย
เมื่อถึงกำหนดวันแต่งงานก็ได้จัดการเครื่องขันหมาก ข้าวของจำเป็นขึ้นรถสองแถว 1 คัน พร้อมด้วยญาติพี่น้องร่วมไปด้วย 20 คน ออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 ในวันนั้น เพื่อให้ทันเวลาการแต่งงาน ในวันนั้นข้าพเจ้าก็ไปร่วมงานด้วย
ไปถึงบ้านเจ้าสาวเวลาประมาณ 07.30 น. ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 12 กิโลเมตร พวกเราได้รับการต้อนรับจากฝ่ายเจ้าสาวเป็นอย่างดี และเป็นกันเองทุกอย่าง เมื่อถึงกำหนดเวลาแต่งงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เข้าพิธี นั่งเคียงคู่กันหน้าต้นบายศรี เพื่อทำพิธีสู่ขวัญตามประเพณีของชาวอีสานบ้านเฮา เมื่อเสร็จพิธีแล้วต่างก็ผูกข้อมือ ให้ศีลให้พรกัน ต่อจากนั้นก็มีการสัมมาคารวะเจ้าโคตร ญาติผู้ใหญ่ พ่อแม่แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี
จากนั้นก็มีการเลี้ยงข้าวปลาอาหาร เหล้า เบียร์ กัน โดยเฉพาะเจ้าภาพทางฝ่ายหญิงเลี้ยงฝ่ายชาย มีการพูดหยอกเย้าสนุกสนานเฮฮากันอยู่ประมาณเกือบเที่ยงวันก็ได้พักผ่อน จนถึงเวลาบ่าย 2 ทางฝ่ายญาติเจ้าบ่าวก็อำลากลับบ้าน ก่อนจะกลับทางญาติฝ่ายเจ้าสาวก็ได้เตรียมอาหารการกินฝาก เพื่อจะได้ไปรับประทานระหว่างทางในเวลาหิว
ได้เวลาก็พากันสั่งลา แล้วก็พากันไปขึ้นรถเดินทางกลับบ้าน รถได้มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง แล้วออกถนนใหญ่มุ่งหน้าสู่จังหวัดยโสธร
พอรถวิ่งผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะไปประมาณ 30 กิโลเมตร พวกเราก็มองเห็นหนองน้ำแห่งหนึ่งและที่ริมฝั่งก็มีต้นหว้าใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากถนนใหญ่ไปประมาณ 15 วา ข้าพเจ้าจึงบอกคนขับรถให้ชะลอ แล้วไปหยุดลงใต้ร่มหว้า เพื่อหยุดพักและรับประทานอาหาร
เมื่อรถหยุดทุกคนพากันทยอยลงจากรถและพักอยู่ใต้ร่มหว้า เพื่อหยุดพักและรับประทานอาหาร ส่วนใหญ่ไม่ลงไปอาบน้ำ มีแต่ข้าพเจ้าและผู้หญิงแก่ ๆ 3-4 คน ที่อาบน้ำในหนองนั้น เพราะอากาศร้อนเหลือเกิน
เมื่อพากันลงไปอาบน้ำ แทนที่จะอาบน้ำล้างตัวธรรมดาก็หาไม่ แต่พากันเล่นน้ำ เอามือกระทุ้งน้ำให้ดังเป็นเสียงกลอง พร้อมร้องเพลง และหยอกเย้ากัน เสียงหัวเราะเฮฮากันกึกก้องไปหมดในบริเวณนั้น นอกจากนั้นแล้วก็พากันไปเด็ดเอาดอกบัวมาเล่นกัน
ห่างจากหนองน้ำไปทางทิศเหนือประมาณ 8 วา เป็นเนินดินที่ราบสูงประมาณ 1 ไร่ มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ตรงกลาง ใต้ต้นโพธิ์มีศาลเจ้าปู่ตาตั้งอยู่ มีต้นตะเคียน ต้นตะแบก ต้นประดู่ ต้นเต็งรัง เรียงรายกันไปในบริเวณนั้น และมีกอไผ่ป่า 5-6 กอ เรียงกันล้อมรอบในเนินดินนั้น ทุกคนที่ลงไปเล่นน้ำในหนองหารู้ไม่ว่า หนองน้ำนี้เป็นที่หวงแหนของเจ้าปู่ตามาช้านานแล้ว ใครจะล่วงเกินไม่ได้
ในขณะที่พากันลงเล่นน้ำสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่นั้น ได้เกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้น คือ ได้มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเท่าต้นมะพร้าว สีขาวสลับดำ โผล่หัวชูคอพ้นน้ำขึ้นราว 3 ศอก อ้าปากแลบลิ้น ตาทั้งสองเท่าไข่เป็ด และมีสีแดงเหมือนไฟ ทุกคนเมื่อมองเห็นต่างตกตะลึง ร้องกรี๊ด! พากันตะเกียกตะกายหนีขึ้นฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต ผู้หญิงบางคนเมื่อถึงฝั่งก็สลบ ต้องช่วยกันพยาบาลอยู่นานจึงฟื้น เมื่อทุกคนขึ้นฝั่ง งูใหญ่ตัวนั้นก็มุดดำลงน้ำหายไป
ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เมื่อขึ้นจากหนองน้ำกันหมดแล้ว นึกว่าจะรับประทานอาหาร ทุกคนกลับบอกว่าไม่ต้อง รีบกลับบ้านดีกว่าเพราะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น
ต่อจากนั้นก็พากันทยอยขึ้นรถเตรียมตัวจะเดินทางกลับบ้าน แต่พอคนขับรถไปสตาร์ทรถกลับไม่ติด สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด ได้ตรวจดูน้ำมันเครื่องยนต์ สายไฟ ตรวจดูทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นปกติดี ทุกคนเศร้าใจไปตาม ๆ กัน จึงพากันลงจากรถ นั่งจับกลุ่มคอยรอเวลารถจะติด
ในขณะนั้นมีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาใกล้ ๆ สะพายข้องเอาแหพาดบ่า เข้าใจว่าคงไปทอดแหหาปลากลับมา ได้เห็นพวกเรานั่งจับกลุ่มกัน และเห็นคนขับรถกำลังสตาร์ทรถอยู่แต่ไม่ติด จึงถามว่า "พวกท่านมาจากไหน และจะไปไหน"
ข้าพเจ้าบอกว่า "มาจากจังหวัดร้อยเอ็ด ไปงานแต่งหลานชาย เสร็จแล้วจะพากันกลับจังหวัดยโสธร และได้มาแวะพักผ่อนอาบน้ำที่หนองนี้แล้วจะพากันกลับบ้าน แต่สตาร์ทรถไม่ติด ไม่รู้เป็นอะไร ได้ตรวจดูรถก็ปกติดีครับ"
ชายคนนั้นได้กล่าวต่อไปอีกว่า "ที่พากันลงอาบน้ำ ได้ขออนุญาตเจ้าปู่ตาก่อนหรือเปล่า" พร้อมกับชี้มือไปที่ต้นโพธิ์ใหญ่ "ได้พากันส่งเสียงดังหรือเปล่าครับ"
"พวกผมผิดไปแล้ว เพราะไม่รู้ว่าเจ้าปู่เจ้าตาจะหวงห้าม กรุณาช่วยพวกผมด้วยครับ"
ชายคนนั้นได้บอกว่า "ให้คนไปหาดอกไม้มา ถ้ามีธูปเทียนด้วยยิ่งดี ท่านเจ้าปู่ตาใจดีอยู่ดอก ผมรู้ดีเพราะที่นาผมก็ติดอยู่กับหนองน้ำแห่งนี้"
จากนั้นก็ได้ให้คนรีบไปหาธูปเทียน ดอกไม้ บังเอิญมีเหลืออยู่ในรถ พอหามาได้ แล้วชายคนนั้นก็พาพวกเราทั้งหมดไปที่ศาลเจ้าปู่ตาใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ เมื่อไปถึงก็ได้พร้อมกันกราบ แล้วชายคนนั้นก็จุดธูปเทียนวางดอกไม้ในจาน และได้กล่าวคำขอขมาลาโทษแทนพวกเราว่า
"เจ้าปู่ตาเอ๋ย พวกญาติพี่น้องมาจากร้อยเอ็ดไปงานแต่ง จะเดินทางกลับยโสธรได้พากันมาพักที่ร่มไม้อาบน้ำในหนอง เพราะไม่รู้ว่าเจ้าปู่ตาหวงแหน ได้กระทำผิดไปแล้ว โปรดจงยกโทษให้อภัย อโหสิกรรมให้พวกญาติพี่น้องทางไกลด้วยเถอะ"
เวลาก็เกือบจะโพล้เพล้แล้ว ทันใดนั้นเทียนที่จุดไว้ก็ดับวูบลงทันที แสดงว่าเจ้าปู่ตาได้ให้อภัยเราแล้ว จึงพากันกลับบ้านโดยไม่ต้องพะวักพะวนต่อไป
ทุกคนพากันดีใจไปตาม ๆ กัน ต่างยกมือประนมกล่าวขอบคุณเจ้าปู่ตาและขออำลา เมื่อพากันไปหารถ คนขับขึ้นไปสตาร์ทครั้งเดียวก็ติดอย่างน่าแปลกประหลาดใจ ทุกคนต่างดีใจกล่าวขอบคุณและอำลาชายใจดีคนนั้น แล้วพากันขึ้นรถออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดยโสธร
ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันว่า น่าอัศจรรย์ งูใหญ่ตัวนั้นคงจะเป็นเจ้าปู่ตาจำแลงมาบอกเรา และทำให้เราสตาร์ทไม่ติด แต่เมื่อขอขมาลาโทษแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปในทางที่ดี สิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์มีจริงในโลกนี้ มีอยู่ 4-5 คนที่ร่วมมาในรถบอกว่า ไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเห็นสิ่งลี้ลับอย่างนี้ บัดนี้เชื่อแล้ว เพราะได้รู้เหตุการณ์และเห็นด้วยตา
ค่ำมากแล้วตะวันกำลังจะลับฟ้า ฝูงนกกาพากันทยอยบินกลับคืนคอนพวกเราได้พากัน กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพทุกประการ
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น