เรือนปั้นหยา

ดิฉันเคยถามคุณแม่ ทำไมไม่ปลูกบ้านทรงปั้นหยาหน้ามุข


ตามที่เขานิยมกัน ทั้งที่บ้านหลังเก่าตอนที่คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นทรงปั้นหยาแม้จะไม่มีหน้ามุขก็ตาม คุณแม่ตอบว่า ปั้นหยาหน้ามุข เป็นที่อยู่ของเจ้านาย เจ้าพระยานาหมื่น คนสกุลไม่ถึง อาจอยู่ได้แต่คงไม่เป็นสุข (คนโบราณท่านถือ)

คุณแม่จัดได้ว่า หัวโบราณ คนหนึ่ง (แต่ดิฉันนึกแย้งท่านอยู่ในใจ รู้ได้อย่างไร ใครสกุลถึงไม่ถึง) แต่ต้องนิ่งเสียเพื่อความสบายใจของท่าน





เรือนปั้นหยา

บ้านหลังเก่า ลักษณะโดยรวมเหมือนบ้านทรงไทย คือ


มีเรือนใหญ่นอกชานกว้าง เรือนเล็กเป็นครัว ต่างที่หลังคาเป็นทรงปั้นหยา ปลูกอยู่ชายคลองแสนแสบสมัยที่น้ำในคลองยังใสเป็นแสงเงิน แสงทอง

ยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์

แต่เดี๋ยวนี้ มีสีเขียว กับสีนิลแถมกลิ่นอีกต่างหาก (เก๋ไปอีกแบบ) หลังบ้านเป็นสวนผลไม้ต่าง ๆ ปลูกไว้หวังกินผล เช่น มะม่วง กล้วย มะละกอ เป็นต้น ร่มครึ้มไปทั่วบริเวณด้วยก่อไผ่




คนในละแวกนั้น ล้วนแต่เป็นญาติคุณพ่อ แปลกที่เขาชอบร่ำลือกันว่า


บ้านเราเป็นบ้านผีสิง ทั้งที่คุณแม่ยืนยังว่าอยู่กับคุณพ่อจนลูกโต ไม่เคยเห็นอะไรดังที่เขาว่ากัน เขากลับชมว่าคุณแม่เก่งไม่กลัวผี เพราะคุณพ่อออกไปหาปลา (ประมงน้ำจืด)

บางคืนกลับดึกหรือเกือบสว่างอย่างนี้ประจำ

ที่บ้านก็มีคุณย่า คุณแม่ ดิฉันและน้อง ก็ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอย่างเช่น ผีฉุดเรือ ดังที่ญาติคุณพ่อบางคนพบมา




แม้แต่หลาน ๆ ของคุณแม่ มาเยี่ยมยังไม่มีใครอยากนอนค้าง


ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นหรือเรือหมด เพราะการสัญจรต้องใช้เรือเป็นหลัก ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง ค่ำลงต้องจุดไต้ จุดตะเกียง อาจเป็นเพราะบรรยากาศเช่นนี้ก็ได้จึงเป็นที่ครั่นคร้ามของคนในระแวกนั้น รวมทั้งผู้คนที่ไม่คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้




แต่คืนที่ฉันพบ ยักษ์ นั้นยังติดอยู่ในความทรงจำมาจนทุกวันนี้


ก่อนเข้านอนดิฉันต้องเข้าห้องน้ำก่อนทุกครั้ง คืนนั้นก็เช่นกัน ห้องน้ำต้องเดินผ่านนอกชาน ขากลับออกจากห้องน้ำสายตาก็สำรวจไปทั่ว ทั้งครัว ทั้งนอกชาน ดิฉันไม่กลัวผี เดินไปในที่มืดได้ด้วยความชำนาญทาง ไม่ต้องใช้ไฟฉายจนคุณแม่ว่า ไม่กลัวผี แต่กลัวงูจะกัดตายซะก่อน




สายตาไปหยุดอยู่ตรงทางลงบันได ณ ที่นั้นมีร่างสูงใหญ่ดำทะมึน


ยืนอยู่นอกบ้าน ส่วนที่อยู่พ้นลูกกรงนอกชานคือ ช่วงอกไปจนหัว นัยน์ตาจ้องตรงมายังดิฉัน เปรียบไปแล้ว ดิฉันเหมือนตุ๊กตาที่อยู่ในบ้านตุ๊กตาดี ๆ นี่เอง ไม่ต้องคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว นอกจากวิ่งไปให้สุดเท่าที่แรงของขาจะมี นอกชานสะเทือน เสียงโครมคราม

เกิดอะไรขึ้น ! ลูกเอ็งเป็นอะไรไป

คุณย่าร้องบอกคุณพ่อให้มาดู ดิฉันมาหยุดนอนคุดคู้บนที่นอนข้างคุณย่า (ดิฉันนอนกับคุณย่า) ครางฮือ ๆ ปากก็ต้องว่าหนาว ยักษ์ จำได้ว่าตอนนั้นหนาวไปถึงหัวใจ ถึงกระดูก

หนาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผ้าห่ม ผ้านวมทุกผืนทับถมลงบนตัวแต่ยังไม่หายหนาวแน่แล้วดิฉันไข้ขึ้น คุณแม่ว่า จนรุ่งเช้าผ่านไป อาการจึงค่อยทุเลา




ท่านสอบถามว่าเป็นอะไร ดิฉันตอบตามที่ได้เห็น คุณแม่ว่า


คนหรือเปล่าอาจเป็นขโมย จะปีนลูกกรงเข้ามาก็ได้ดิฉันยันยืนไม่ใช่แน่ คนอะไรสูงกว่าหลังคาบ้าน แล้วใหญ่โตผิดมนุษย์ จะว่าเงาไม้ก็ไม่ใช่เพราะจุดที่เห็นคือหน้าบ้าน ซึ่งไม่ได้ปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้สักต้น

ส่วนคุณย่ากับคุณพ่อ มองหน้าเหมือนรู้เป็นนัย

เพราะท่านอยู่ย่านนี้มานาน เรื่องนี้รู้กันภายในครอบครัวไม่ได้เล่าให้คนอื่นฟัง พ่อคุณพ่อเสียคุณแม่จึงย้ายมาปลูกบ้านอยู่ ณ ที่ซึ่งคุณยายให้ท่าน แต่ท่านไม่ปลูกทรงปั้นหยาเหมือนหลังเก่า

จะเป็นเพราะกลัวสกุลไม่ถึงหรือว่ากลัวบรรยากาศแบบเก่าก็ไม่ทราบได้




ปัจจุบันที่แปลงนั้น


กลายสภาพเป้นสวนมะม่วงของคุณอา แต่ทุกคนที่รู้ประวัติของที่นั้นก็ยังหวาดกลัวที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง..





แหล่งที่มา:


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์