พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ เคยเกิดเป็นเทวดา
ผู้เขียนมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ระลึกชาติได้ในเมืองไทยอยู่หลายกรณี แต่จะนำมาเล่าในสองกรณี ท่านแรกนั้นเป็นพันตำรวจเอก ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกท่านหนึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ซึ่งปัจจุบันท่านสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ผู้ที่ระลึกชาติได้ท่านแรกมีความน่าสนใจตรงที่ท่านระลึกได้ว่าชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นเทวดาและยังได้ทำการบันทึกประสบการณ์ระลึกชาติของท่านไว้เป็นหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของตัวท่านเอง ท่านผู้นี้คือ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ผู้เขียนจึงขอนำบันทึกของท่านมาเผยแพร่เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจในเรื่องของตายแล้วเกิดในรูปแบบต่างๆทั้งนี้เพื่อจะให้เกิดความเข้าใจในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น
และหมั่นสร้างบุญกุศลกันต่อไป
พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ท่านบันทึกไว้ว่า "ผม (คือ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์) ก็ระลึกชาติได้เหมือนกัน แต่แตกต่างจากคนอื่นที่เขาเป็นกัน คนอื่นเขาเคยเป็นช้าง เคยเป็นงูซึ่งอยู่บนพื้นโลกด้วยกันเขาจะบอกสถานที่ พ่อ แม่ พี่น้อง และชื่อเสียงในชาติก่อนได้แต่ผมบอกสถานที่เดิมในชาติก่อนได้บ้างไม่มาก จะชี้ให้ใครเห็นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ที่มนุษย์อยู่กัน"
พ.ต.อ.ชติ บอกว่าการระลึกชาติของท่านนั้นมันเป็นความรู้สึกชัดเจนในความทรงจำของท่านมาตั้งแต่เด็กๆไม่มีลืมเลย ท่านบอกสถานที่ในชาติก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ว่า
"รู้สึกตัวว่านอนอยู่บนแท่นๆหนึ่งลอยอยู่บนที่สูงมาก แท่นที่นั่งนอนนั้นไม่ใช่แท่นหินหรือแท่นไม้ หากแต่เป็นท่านบางใสเป็นที่นอนสบาย ยังจำเหตุการณ์ในช่วงนั้นได้ว่าแท่นที่นอนอยู่เกิดแข็งกระด้างขึ้นมา ไม่อาจนอนนิ่งสบายอยู่ได้ รอบๆ ตัวที่จำได้มองเห็นเป็นท้องฟ้า สีคราม รู้สึกตัวลอยอยู่ผู้เดียวท่ามกลางความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยากมีเพื่อนสนทนาด้วย มองต่ำลงมาห่างออกไปอีกไม่มากมีชมรมเทพ ชมรมใหญ่กำลังสนุกสนานกันอยู่ อยากจะไปก็ไปไม่ได้ ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงบอกแกมสั่งว่า ถึงเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จึงตอบเจ้าของเสียงนั้นไปว่า "ข้าพเจ้าไม่อยากไปเกิดเป็นคน อยู่ที่นี่ดีกว่า" เสียงที่ไม่เห็นตัวบอกว่า "ต้องไป...หมดเวลาแล้ว ไปอยู่เมืองมนุษย์ถึงเวลาจะต้องกลับมาก็ไม่อยากจะกลับเสียอีก"
พ.ต.อ.ชติในชาตินั้นค่อยๆเคลื่อนจากที่อยู่ลอยเลื่อนไปจนถึงที่อยู่ของเทพยดากลุ่มใหญ่ อากาศ ณ ที่นั้นสว่างไสว เทพยดาหญิงชายอยู่กันเป็นหมู่ 7-8 องค์บ้าง 2-3 องค์บ้าง วิมานคล้ายศาลาสวยงามมาก เทพยดาสนทนาปราศัยกันเป็นที่สนุกสนานเพลิดเพลิน บางวิมานมีการขับร้องดนตรีไพเราะ เทพยดาบางกลุ่มไม่มีวิมาน และเทพยดาเหล่านั้นก็ไม่สนใจ พ.ต.อ.ชติ เหมือนเขามองไม่เห็น
พ.ต.อ.ชติในร่างเทพค่อยๆลอยเลื่อนไปๆจนรู้สึกเหมือนตกฮวบลงที่ต่ำมองไปรอบๆรู้สึกตัวกำลังลอยอยู่เหนือสะพานผ่านฟ้า ถนนราชดำเนินนี่เอง ลอยสูงกว่าพื้นประมาณตึก 2 ชั้น ลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ทราบว่าตัวเองจะลอยไปไหน ทันใดนั้นก็มีดวงกลมของจิตวิญญาณเคลื่อนมาจากทางป้อมพระกาฬลอยมาหยุดเคียงกับ พ.ต.อ.ชติ ดวงวิญญาณทั้งสองดวงมีลักษณะเป็นทรงกลมมีแสงเรืองออกไปโดยรอบ เมื่อมีวิญญาณใหม่มาลอยเคียงข้าง พ.ต.อ.ชาติในร่างของดวงวิญญาณก็รู้สึกดีใจหายว้าเหว่ ทั้งสองจึงลอยจากเหนือสะพานผ่านฟ้าคู่กันไปทางนางเลิ้ง ตามแนวถนนนครสวรรค์ ก่อนถึงสี่แยกนางเลิ้งเล็กน้อยมีลำคลองเล็กจากทางข้างวัดโสมนัสไปทะลุคลองข้างวัดสระเกศ ทางขวามือมีสะพานไม้เล็กพอที่ 2 คนจะหลีกกันได้ สะพานไม้เล็กๆนี้เลียบริมคลองไปมีบ้านริมสะพานห่างๆกันหลายหลัง วิญญาณดวงที่ลอยมาด้วยกันก็ลอยเลี้ยงหายแว้บไปทางสะพานนั้น วิญญาณ พ.ต.อ.ชติจะลอยตามไปบ้างก็ทำไม่ได้ ต้องค่อยๆลอยเลื่อนไปทางนาเลิ้งถึงตรงหน้าโรงหนังนาเลิ้ง (เฉลิมธานี) หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
วิญญาณ พ.ต.อ.ชติในชาติที่แล้วรู้ว่าถ้าเลยไปจะถึงสนามม้านางเลิ้ง เลี้ยวซ้ายจะเป็นที่น่าอยู่มากอยากจะไปอยู่แต่ก็ไปไม่ได้คงลอยนิ่งอยู่ที่เดิมก่อน แต่แล้วก็ต้องลอยเลี้ยวไปทางโรงหนังนางเลิ้งทั้งๆที่ไม่อยากไป หลังจากนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอย่างใดอีกรู้สึกตัวอีกทีเหมือนอยู่ในถ้ำมืด (อยู่ในครรภ์มารดา) รู้สึกอึดอัดคับแคบ ขาดอากาศ ไม่สบาย บางช่วงก็หมดความรู้สึกเหมือนหลับไป มารู้ตัวชัดเจนอีกทีก็เมื่อคลอดพ้นจากครรภ์มารดามาเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ เป็นบุตรชายของขุนนางที่มีนามบรรดาศักดิ์พระราชทานจากในหลวงว่าอำมาตย์ตรีพระลัทธาพงศ์พิรัชพากย์ (ต่วย ลัทธาพงศ์)
ประสบการณ์ระลึกชาติของ พ.ต.อ.ชติ ทำให้เรามองเห็นความไม่แน่นอนของทุกสรรพสิ่ง ความเป็นเทพยดาอยู่บนสวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งคงที่ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับผลบุญของการทำความดี เพราะหากว่าสิ้นแรงบุญเทวดาก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่ถึงอย่างไรการระลึกชาติได้ของ พ.ต.อ.ชติก็อาจจะทำให้ใครหลายๆคนเกิดความเข้าใจในกฎแห่งกรรมได้แจ่มชัดขึ้นว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วหากว่ายังไม่สิ้นกิเลสก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกแน่นอน