"ระลึกชาติ" ตายแล้วไม่สูญ ตอนจบ

การระลึกชาติตามบันทึกของ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ผู้อ่านได้ติดตามกันในตอนที่แล้วถือเป็นหนทางหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด แม้เราเองจะระลึกชาติไม่ได้ แต่ประสบการณ์จากผู้อื่นก็คือเป็นวิทยาทานให้เราได้ศึกษาเพื่อที่ต่อไปเราจะไม่ประมาท ต้องระวังตัวต่อการทำบาป เพียรสร้างความดีให้มากที่สุด เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว "บ้าน" ของเราในภพหน้าจะเป็นอย่างไร...

\"ระลึกชาติ\" ตายแล้วไม่สูญ ตอนจบ

ผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ ผู้ที่มีความทรงจำอดีตติดตัวมา

ยังมีอีกท่านหนึ่งซึ่งไม่เคยฝึกสมาธิแต่ยังมีความทรงจำครั้งอดีตติดตัวมาท่านคือ ผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยท่านจำได้ว่าชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นผู้หญิง จำได้แม้กระทั่งภาวะใกล้จะสิ้นลม ภาพเหตุการณ์หลังจากเสียชีวิตแล้ว ไปอยู่ ณ สถานที่ใดและก่อนจะมาเกิดใหม่มีความรู้สึกอย่างไร อาจารย์วิวัฒน์ชัยได้เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า มีประสบการณ์ที่จำได้บางส่วนอย่างหนึ่งซึ่งอาจารย์เรียกว่า "ระลึกชาติ" ความทรงจำนี้เริ่มขึ้นเมื่อวัยเด็ก และเมื่อเพียรเล่าให้คนรอบตัวฟังก็มักจะถูกดุ ถูกห้ามไม่ให้พูดเสมอ


ยาเม็ดลืมชาติ

"ผมเกิดที่กรุงเทพฯ ตรงวัดตรีทศเทพ เมื่อเด็กๆพอเล่าเรื่องนี้ทีไรแม่จะตีเรื่อย ผมก็เล่าอยู่ไม่รู้กี่ครั้งจนแม่สั่งห้าม คือผมมีความรู้สึกว่าผมเคยเห็นแม่ผมกับเพื่อนเขา 3-4 คนเนี่ยไปเดินอยู่ในวัดซึ่งตอนหลังผมมารู้ว่าที่นั่นคือวัดตรีทศเทพ เขากำลังเผาศพผมอยู่และสมัยนั้นวัดที่ผมตายไม่มีเตาเผาศพ เขาเอาไม้ฟืนมากองเป็นชั้นๆผมจำได้ว่ามีพระนุ่งผ้าสบงใช้เหล็กเขี่ยศพผมพลิกกลับไปกลับมาผมก็ยืนดูอยู่เสร็จแล้วก็เห็นแม่กับเพื่อนเขาหาทางออกไม่ได้ เพราะที่วัดตรีทศเทพมันจะมีนายป้าช้าคนหนึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่เขาปิดทางไม่ให้ออกแม่แกก็เดินวนไปวนมา ตอนหลังจึงไปถามพระ" ท่าทางออกอยู่ตรงไหน "พระท่านก็ว่า" โอ๊ย...ไอ้ผีพวกนี้คอยปิดทางอีกแล้วหรือ "แล้วตอนหลังแกก็ออกไปได้"

"พอหลังจากนั้นผมไม่รู้ว่ามันเป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็มีเสียงบอกว่า "เอ้า...ถึงเวลาไปเกิดกันแล้ว" เขาก็เรียกไปเข้าแถว ผมอยู่แถวสุดท้ายที่มีชัก 5-6 คนได้มั้ง แล้วเขาก็ให้ดินเม็ดกลมๆเขาบอกว่าก่อนจะเกิดให้กินเม็ดลืมชาติก่อน มันเป็นเม็ดกลมๆแต่ผมกินไม่หมด กินแค่ครึ่งเม็ดแล้วทิ้ง เพราะไม่อยากกิน อยากจะจำได้ พอกินเข้าไปรู้สึกชานะ แบบหมุนวิ้วๆๆเหมือนดิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ซักพักหนึ่งไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จู่ๆก็ลืมตาเห็นแสงสว่าง จะพูดก็พูดไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ อึดอัดมาก ผมร้องอย่างเดียว แว๊ดๆๆคือตอนนั้นมาเกิดแล้ว"



ผมตายกับช่วงเวลาที่มาเกิดใหม่น่าจะห่างกันประมาณ 8 ปี

อาจารย์วัฒน์ชัยเล่าให้เราฟังว่าเรื่องประหลาดที่ยังจำได้ก็คือเมื่อครั้งยังเป็นทารกอาจารย์มักจะเห็นแสงไฟเป็นดวงวาบๆซึ่งคนโบราณเขาเรียกว่าแม่ซื้อ หรือเทพที่ติดตามคุ้มครองเด็ก ซึ่งอาจารย์เชื่อว่ามีจริง ส่วนเหตุการณ์ในอดีตชาติที่ยังจำไม่เคยลืมคือ "ภาวะใกล้ตาย" และ "ชีวิตหลังความตาย" ซึ่งอาจารย์ได้เล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า...

"ผมแน่ใจว่าก่อนจะตายในชาติที่แล้วผมเป็นผู้หญิงแก่ แต่ก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใครเพราะผมกินเม็ดลืมชาติน่ะ แต่ยังจำหน้าตาตัวเองในชาติที่แล้วได้ว่าไว้ผมทรงดอกกระทุ่มตายราวๆอายุ 70 กว่า และช่วงก่อนตายผมนอนอยู่บนเตียงไม้ธรรมดาๆแล้วมีคนมานั่งเฝ้ากันเยอะเลย เขาบอกว่าผมทำบุญไว้เยอะคงจะได้สมความปรารถนาซึ่งผมก็อธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าผมอยากจะเป็นผู้ชาย เพราะชาตินี้เป็นผู้หญิงไม่ได้บวช ชาติหน้าขอเป็นผู้ชายขอให้ได้บวช

อีกอันหนึ่งที่ผมจำได้แม่นคือ มีคนกระซิบข้างหูก่อนที่จะตาย บอกให้สวดพุทโธๆผมก็สวดไปเรื่อยๆพอถึงจุดๆนึ่งก่อนจะหมดลมความรู้สึกมันจะค่อยๆเย็นยะเยือกจากเท้าขึ้นมาเรื่อยๆถึงตรงหน้าขาก็ไม่อยากสวดอีก ผมเลยหลับตา ได้ยินเสียงพระองค์หนึ่งพูดว่าปัฐธาตุจะหมดแล้ว ตอนนั้นมันหลุดไปเลย ดิ่งลงลิบไปเลย จิตวิญญาณหลุดไปแล้ว"

คนสมัยก่อนหรือแม้กระทั่งปัจจุบันนิยมบอกหนทางให้กับคนใกล้ตาย อาจเป็นคำบริกรรมว่า "พุทโธ" ให้นึกถึงพระหรือบุญกุศล ความดีงามทั้งปวงที่เคยสร้าง ทั้งนี้ก็เพื่อหวังจะให้ไปเกิดในที่ที่ดี แต่สำหรับคนใกล้ตายที่ไฟธาตุแตกแล้วทวารก็จะเปิดหมด ฉะนั้นประสาทสัมผัสทุกส่วนก็จะไม่รับรู้ ดังนั้นเมื่อให้หนทางคำบริกรรมอะไรแก่คนจะตายเขาก็ไม่อาจรับรู้ได้ เมื่อชีวิตดับลงภาวะหลังความตายจะเป็นเช่นไร ประสบการณ์ของผู้ที่เคยสัมผัสและจำได้จากการระลึกชาติหรือตายแล้วพื้นมักเล่าไม่ตรงกัน บางคนก็ไปพบกับสถานที่สวยงามน่าอยู่ แต่บางคนก็พบกับสภาพแร้นแค้นตกระกำลำบากยิ่งกว่าเมื่ออยู่ในเมืองมนุษย์ สำหรับอาจารย์วิวัฒน์ชัยนั้นท่านเล่าถึงสังคมของโอปปาติกะที่ท่านผ่านพบมาในชีวิตหลังความตายว่า...

"ขณะที่วิญญาณผมออกจากร่างผมเห็นร่างตัวเองลอยขึ้นๆเป็นร่างเราที่ไม่โปร่งแสง ตอนนั้นไม่กลัวเพราะผมรู้ว่าคนเราต้องตาย แล้วพอมารู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ที่วัดๆหนึ่งเห็นตัวเองนอนอยู่ในโลงก็รู้ว่าผมตายแล้วแน่นอน เห็นเพื่อนฝูงมามากมาย ยังจำได้เลยว่าสมัยก่อนงานศพเขาจะนุ่งโจงกระเบนสีดำ เสื้อสีขาว รองเท้าไม่ใส่ แล้วพอเข้าไปทักใครก็ไม่มีใครพูดด้วย โลงศพเขาก็ตั้งไว้ธรรมดามีสายสิญจน์ผูกแล้วก็มีถ้วยเครื่องเซ่น แต่ระหว่างที่อยู่ในโลงนั้นผมกินอะไรไม่ได้เลย รู้ว่าเขาเคาะโลงให้กินแต่ผมกินไม่ได้ เคาะไปก็ไม่มีผลอะไรแต่ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่ๆผมอยู่มีวิญญาณซัก 10 ตนนะ แต่มีคนหนึ่งเรียกว่า "นายป่าช้า" หน้าตาก็เหมือนเรานี่แหละแต่เป็นคนคอยควบคุมวิญญาณด้วยกัน"

"ผมเชื่อเรื่องนี้มากเพราะมีจริง อีกเหตุการณ์นึงตอนที่แม่ผมท้องอยู่ อาเขามาขอพระ ผมก็ดูอยู่เห็นแม่เขาให้พระอาไปเป็นพระวัดพลับ พิมพ์เสมาวันทา พอผมถามแม่ แม่ก็ว่าทำไมแกรู้ล่ะ แกยังอยู่ในท้องยังไม่เกิดเลย ผมก็งงไม่รู้ว่าอยู่ในท้องทำไมเรามองเห็นหรือวิญญาณเราจะอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในท้องด้วย วิญญาณคงตามตัวเราตลอด แล้วแม่ผมเขาสันนิษฐานว่าผมเนี่ยคือคุณยายเจิมที่อยู่แถวๆวัดตรีทศเทพ แกเป็นคนชอบทำบุญสุนทาน สร้างวัดเยอะและไม่มีครอบครัว แม่เขาสนิทกับคุณยายคนนี้แต่เขาไม่ได้เป็นญาติอะไรกับทางแม่ผมนะแม่เขาเล่าว่าคุณยายเจิมเนี่ยเวลาตายแกท่อง "พุทโธ" คนแถวบ้านมาเล่าให้แม่ฟัง ตอนตายแม่ไม่ได้ไปด้วย แม่ไม่เห็น ผมก็เคยไปสืบหาบ้านคุณยายเจิมนะแต่เขารื้อไปหมดแล้ว แกไม่มีลูกมีหลาน ทรัพย์สมบัติแกยกให้วัดหมด และคิดว่าระยะเวลาที่ผมตายกับช่วงเวลาที่มาเกิดใหม่น่าจะห่างกันประมาณ 8 ปี"

ในภาวะหลังความตายท่อาจารย์วิวัฒน์ชัยได้สัมผัสมาด้วยตัวเองนั้นท่านยังไม่แน่ใจว่าสถานที่ที่ไปอยู่คือสวรรค์หรือนรก หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์จากความทรงจำดังกล่าว อาจารย์บอกกับเราว่า

"ประสบการณ์อย่างนี้ทำให้ผมเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ผมถึงไม่กลัวตายผมรู้ว่าเวลาตายไปแล้วเนี่ยเราจะได้มีโอกาสเกิดใหม่ แต่สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือผมยังไม่เห็นผลของกฎแห่งกรรม เพราะผมว่าผมยังไม่ได้ไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ แต่ผมก็มีความเชื่ออย่างนึงว่าถ้าคนกลัวการทำบาปและทำความดี ทำบุญไว้มากๆจิตจะสงบ เมื่อจิตเรานิ่งมันจะทำให้เรามั่นคง ปัญญาก็จะเกิดแล้วทุกอย่างก็จะดีเอง"


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์