กำเนิดผีไทย (1)


กำเนิดผีไทย (1)

เรื่องภูตผีปีศาจแบบไทยๆ ก็คงเริ่มต้นเหมือนกับเรื่องผีทั่วโลก

ตรงที่เชื่อว่าคนเรามีจิตวิญญาณประจำตัว ถึงตายไปแล้วก็ยังไม่ดับสูญไปไหน วิญญาณที่ว่านั้นยังคงวนเวียน หรือล่องลอยไปที่นั่นที่นี่ตามยถากรรม (หรือวิบากกรรมตามคติไทย)

หลายๆ ชาติก็เชื่อว่า วันหนึ่งวิญญาณนั้นจะต้องกับมาเข้าร่างอีกครั้ง เช่นอียิปต์เป็นต้น จึงได้มีการดองศพ (มัมมี่) ไว้รอคอยวิญญาณ แต่คอยแห้งคอยหายมานับพันปีก็ยังไม่กลับมาเสียที มัวไปตุหรัดตุเหร่ร่อนเร่พเนจรอยู่ที่ไหน หรือหลงทางจนหาทางกลับไม่ถูกก็ไม่มีใครทราบจริงๆ

...จะกลับมาก็เฉพาะในนิยายและภาพยนตร์เท่านั้นแหละ อย่างเรื่อง "มัมมี่" นั่นปะไร ภาคแรกโกยเงินอั้กๆ จนต้องมีภาค 2 ภาค 3 มาเขย่าขวัญท่านผู้ชมให้ขนพองสยองเกล้าไปทั้งโลก เผลอๆ ก็มีภาค 4 ภาค 5 เข้าจนได้

วิญญาณที่ยังคงไม่ดับสูญ ก็จะปรากฏให้คนเห็นในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็นคนเหมือนเดิมบ้าง เป็นผีน่าเกลียดน่ากลัวบ้าง เป็นสัตว์ต่างๆ บ้าง หรือไม่วิญญาณก็จะเข้าสิงสัตว์เลี้ยงในบ้านของตน เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ตัวรักและผูกพันบ้าง บางทีปรากฏเป็นรูปเงาวูบๆ วาบๆ ให้เห็นบ้าง

มาด้วยกลิ่นก็มี เหม็นบ้างหอมบ้าง จะเอาแน่นอนอะไรนักก็เห็นจะไม่ได้

มาด้วยเสียงแปลกๆ เช่นเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญบ้าง เสียงถอนใจยืดยาวบ้าง เสียงกุกกักก๊อกแก๊กต่างๆ บ้าง รวมทั้งเสียงเดินวนเวียนไปมา เสียงขึ้นลงบันได เสียงปิดเปิดประตูหน้าต่างตึงตังโครมครามเป็นต้น

หนักกว่านั้นก็คือเสียงที่เกิดจากเหตุการณ์แปลกๆ เช่นกรอบรูปผู้ตายพลัดหล่นลงมาเอง เสียงข้าวของเครื่องใช้ตกหล่น แม้แต่ตู้โต๊ะหนักๆ เคลื่อนที่เองให้เห็นบ้างไม่ให้เห็นบ้าง เก้าอี้เลื่อนครืดคราดจนถึงล้มโครมคราม จนทำให้คนขวัญอ่อนหวีดร้อง เผ่นกระเจิดกระเจิงกันมานับไม่ถ้วน

ถ้าเป็นผีที่สิงสู่อยู่ในบ้านนั้นมาแต่เดิม ก็แสดงว่าไม่ต้อง การให้คนอื่นมาอยู่

ถ้าเป็นผีในครอบครัวนั้นๆ ก็เชื่อว่ามาปรากฏตัว หรือเสียงให้รู้ว่าจะมาคอยดูแลหรือคุ้มครองลูกหลาน รวมทั้งญาติพี่น้องของตนไม่ให้ได้รับอันตราย รวมทั้งป้องกันมิให้วิญญาณชั่วร้ายและเร่ร่อนมารบกวนได้ง่ายๆ

ถ้าเป็นผีเร่ร่อนทั่วๆ ไปที่เรียกว่า "สัมภเวสี" หรือผีไม่มีศาล เชื่อว่าไม่ได้มีความประสงค์ร้าย แต่ปรากฏตัวเพื่อขอส่วนบุญ เพราะไม่มีญาติมิตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บ้าง เช่นผีโขมดป่าโขมดดงที่เคยเล่าไปแล้ว ว่าต้องเร่ร่อนขอส่วน บุญจากพระธุดงค์ หรือผู้ที่เข้าไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ปฏิบัติธรรมในเถื่อนถ้ำ ป่าเขาลำเนาไพร

หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อก็เคยเจอะเจอผีโขมดมาแล้ว และได้นำมาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง มีผู้บันทึกลงในหนังสือ "พระอริยสงฆ์ไทย" เล่ม 2

...เนื้อความเล่าถึงเรื่องเสียงประหลาดดังมาจากป่า มีลมกระโชกเสียงอื้ออึง จนถึงบริเวณถ้ำที่ท่านทั้งสองบำเพ็ญธรรมอยู่ เสียงนั้นโหยหวนเยือกเย็นนัก ครั้นใกล้ถึงบริเวณปากถ้ำก็ปรากฏร่างคล้ายลิงตัวใหญ่ แต่ใหญ่กว่าลิงทั่วไปมากมายนัก...ใหญ่กว่าคนถึงเท่าตัว

หลวงปู่แหวนถามหลวงปู่ตื้อเป็นปริศนาธรรมว่า ทุกข์คืออะไร?

หลวงปู่ตื้อตอบว่า ชาติปิทุกขา, ชราปิทุกขา, พยาธิปิทุกขา มรณังปิทุกขัง

หลวงปู่แหวนแปลความว่า เกิด, แก่, เจ็บ, ตาย ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้น

วิญญาณผีโขมดจึงรับรสพระธรรม และหลุดพ้นจากทรมานไปแสวงหาแดนเกิดต่อไป

หลวงปู่แหวนถามหลวงปู่ตื้อว่า "เมื่อคืนนี้ตัวอะไร" หลวงปู่ตื้อตอบว่า "โขมดไพร คงเป็นวิญญาณชาวป่า ตายไปแล้วกลายเป็นวิญญาณร้าย แปลงกายเป็นสัตว์ได้"

คิดแล้วก็คงเหมือนเรื่องราวของเสือสมิง ที่คนเอเชียทั่วไปเชื่อกันว่า เสือดุร้ายประเภทกินคนมามากมาย ย่อมถูกวิญญาณของเหยื่อสิงร่างจนมีอิทธิฤทธิ์แปลงกายเป็นคนได้ โดยเฉพาะเมื่อถึงยามหิวโหยต้องหาเหยื่อเป็นอาหาร ก็จะแปลงเป็นคนให้เหยื่อตายใจ

เหมือนที่ชอบพูดกันว่า "คนแท้ๆ แต่หลอกหลอนกันเก่งกว่าผีด้วยซ้ำไป!"




ขอบคุณข้อมูลจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์